April 30, 2013

งง

เคยงงกันไหมคะ?
เวลาที่งงเป็นเวลาที่น่าอึดอัดจริงๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ขึ้น


เรื่องเกิดขึ้นมานานแล้ว
วันนั้นเป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง
หนอนั่งอยู่ในคาบเรียนภาษาเยอรมัน


เสียงตามสายดังขึ้น
หนอไม่เข้าใจสิ่งที่ประกาศอยู่สักคำ
ทุกคนดูตะลึงงัน


เสียงตามสายเงียบลง
หนอยังไม่เข้าใจสิ่งที่ประกาศไปสักคำ
ทุกคนยังตะลึงงัน


หนอหันซ้ายไปหาเพื่อนที่นั่งข้างๆ
“Is this serious?” พร้อมกรีดสำเนียงให้เขาเข้าใจง่ายๆ
ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า “This” ในที่นี้คืออะไร


เพื่อนคนนั้นหันขวามาพยักหน้าน้อยๆ
“Yes” เธอพูดในลำคอ
ทุกอย่างในห้องเรียนดูเกินจริง


หนอเพิ่งเหยียบเข้าประเทศนี้มาได้ 1 สัปดาห์
ความรู้ภาษาอังกฤษที่ว่าเกือบ Perfect ขณะอยู่เมืองไทย
ไม่มีความหมายในที่แห่งนี้ หนอไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเลย


ตึก Pentagon...
หนอจับใจความได้สักอย่าง
แต่นั่นก็ไม่มากพอ


โรงเรียนเราเลิกเวลาปกติ
บ่ายสองโมงสิบห้านาที
หนอเจอ Host Brother ตอนกำลังเดินไปขึ้นรถโรงเรียน


Host Brother คือลูกชายของบ้านที่หนอไปอยู่ด้วย
เขาพยายามบอกหนอว่าเมื่อเช้าเกิดอะไรขึ้น
แต่หนอไม่เข้าใจ


ทุกคนบนรถโรงเรียนดูไร้ชีวิตชีวา
วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หนอยังไม่เข้าใจ


เรากด Switch โรงรถให้เปิดขึ้น
และเดินเข้าบ้านจากทางนั้น
แม่ - Host Mother - นั่งดูทีวีอยู่


พี่ชายและน้องสาวทิ้งกระเป๋านักเรียนลงอย่างอ่อนแรง
ในทีวีมีภาพเครื่องบินชนตึก
นี่มันหนังเรื่องอะไร


Mark กับ Michelle หันมาอธิบายว่า
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าใน New York
นี่คือสิ่งที่อยู่ในเสียงตามสาย


ที่จริงแล้วพ่อต้องอยู่ที่ Pentagon ส่วนนั้น” Mark พูดขึ้น
หมายถึงตึกที่ยุบลงมาเมื่อเช้าใน DC
Host Father หนอทำงานส่วน State Department


พ่อ - ที่ขณะนั้นหนอเรียก “Dad” - ไม่ได้อยู่ที่ตึกนั้นเมื่อเช้า
บ้านเราทุกคนปลอดภัย
หนอยังไม่เข้าใจ


จากวันนั้น 11 กันยายน 2001
ถึงวันนี้ 30 เมษายน 2013
หนอก็ยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจ


ทั้งที่เรียนจบการเมืองต่างประเทศแท้ๆ
ความ งงของหนอตอนนั้นกับตอนนี้แตกต่างกัน
แต่หนอพูดได้เต็มปากว่าหนอยัง ไม่เข้าใจอยู่หลายอย่าง


หนองงที่คนทำร้ายกันวันนั้น
หนองงที่คนยังทำร้ายกันวันนี้
โลกนี้ช่างไม่น่าเข้าใจ


อย่าบอกว่าโลกไม่น่าอยู่เลย
โลกน่าอยู่เสมอ
คนต่างหากที่ทำให้โลกไม่น่าอยู่

April 29, 2013

เดิน

หนอกำลังเดินกลับบ้าน


เท้าทางเป็นห้องสมุดชั้นดีสำหรับคนที่ คิดไปเรื่อย
การคิดนี่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในที่สงบๆ หรอก
หนอเดินคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยตลอดทาง


เช่น ทำไมเราถึงเรื่อยเปื่อย?
หนอเรียนจบมา ไปต่อภาษาต่างประเทศที่ 2
กลับมาสมัครงาน ไม่มีใครเรียกสัมภาษณ์


ทำไมไม่มีใครต้องการเรา?
ไม่ใช่แค่ไม่เรียกสัมภาษณ์
ที่ที่เรียกและได้เข้าไปทำ ก็อยู่ไม่ได้นาน


ทำไมคนเรียนดีมาตลอดชีวิตถึงได้จับจดอย่างนี้?
ชีวิตเราแย่นะ
เสียสถาบันจริงๆ


หนอกำลังเดินกลับบ้าน


รถเมล์วิ่งตัดเข้าออกเลนในเลนนอก
คนบนรถเมล์ดูลำบาก
นอกจากจะเบียด ร้อน แล้วยังต้องทรงตัวดีๆ


คุณมนุษย์เงินเดือนผู้หญิงใส่ส้นสูง
เธอวิ่งเลาะทางเท้ามาให้ทันรถเมล์หยุดที่ป้าย
ในมือถือกระเป๋าใบใหญ่และกับข้าวพะรุงพะรัง


ร้านข้าวแกงตามสั่งริมถนนมีคนมุงเยอะ
ที่มุงตรงร้านก็มี ที่ต่อคิวยาวออกไปก็มี
เมื่อไรเขาจะได้กินนะ ซื้อกลับไปให้ใครกินบ้างนะ


ร้านสะดวกซื้อก็มีคนต่อคิวยาว
ที่ซื้อข้าวซื้อของก็มี ที่จ่ายค่าโน่นค่านี่ก็มี
เมื่อไรเขาจะได้กลับบ้านนะ มีใครรอเขาอยู่ที่บ้านบ้างนะ


หนอกำลังเดินกลับบ้าน


ชีวิตเราแย่นะ... แต่เราก็สบายกว่าอีกหลายคน

April 28, 2013

หนัง



วันนี้หนอไปดูหนังมาค่ะ
ไปดูคนเดียว
เป็นวิธีปลีกวิเวกวิธีหนึ่ง

เรื่องนี้ฉายเฉพาะเครือแบบจำกัดโรงนะคะ
ปาฏิหาริย์ห้องขังหมายเลข 7”
หรือ Miracle in Cell No. 7

ชื่อภาษาเกาหลีคือ
7번방의 선물
แปลตรงตัวคือ ของขวัญห้องหมายเลข 7”


เอาจริงๆ คือหนอไม่มีหนังอื่นที่อยากดู
และในโฆษณาก็พาดหัวมาว่าเรื่องนี้ น่าดู
ซึ่งจะจริงไม่จริงก็ไม่เป็นไร

หนังเกาหลีจะมีกี่สักเรื่องที่ทำออกมาห่วยจนรับไม่ได้
ส่วนตัวหนอคิดว่าไม่มี ยิ่งแนวครอบครัวอย่างนี้แล้วด้วย
ต่อให้ไม่ชอบ ก็ยังถือว่าได้ฟังภาษาที่ไม่ได้ฟังมานาน คิดถึง

7번방의 선물 ตัดเรื่องสลับไปมา แต่ก็ไม่ทำให้งง
สิ่งที่เฉียบมากคือมุกตลกที่มาถูกจังหวะ
และการเล่นคำพ้องที่สละสลวย (สำหรับคนฟังเกาหลีเข้าใจ)


ตัวอย่างหนึ่งที่คอเกาหลีน่าจะได้ยินบ่อยคือคำว่า นางฟ้า(천사)
คำว่า นางฟ้าพ้องเสียงกับจำนวน พันสี่” – 1004
ในเรื่องนี้ก็มีนักโทษรหัส 1004 ด้วย บทพูดบางฉากจึงกินใจยิ่งขึ้น

หนังเรื่องนี้ทำให้เห็นว่าผู้ผลิตใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทสนทนาและ ความหมายระหว่างบรรทัด
ซึ่งแน่นอนว่าผู้ชมต่างชาติจะไม่ได้รับอรรถรสเต็มร้อย

ถึงอย่างนั้นหนังเรื่องนี้ก็ยังให้ความสุขกับคนดู
แม้จะตัดประเด็นเรื่องความเข้าใจในภาษาออกไป
Subtitle เรื่องนี้ทำออกมาใช้ได้ทีเดียว - สนุกมาก


7번방의 선물 เป็นหนังตลก ที่อบอุ่นมากๆ ดูไปยิ้มไป
หนอไม่ได้ยิ้มกว้างๆ หัวเราะดังๆ ในโรงหนังมานานแล้ว
แต่ฉากเรียกน้ำตาที่นานๆ มาทีก็ถือว่าทำเอาร้องไห้ได้จริงจังทีเดียว

* หนอไม่เขียนเรื่องย่อนะคะ
หนอเองก็ตัดสินใจไปดูแบบที่ไม่อ่านอะไรไปก่อนเลย
ใครมีเวลาว่าง อยากดูหนัง หนอแนะนำหนังเรื่องนี้ค่ะ

April 27, 2013

พลิก

หนออ่านข่าวบันเทิงเจอเนื้อความทำนองนี้บ่อย
คนนั้นคนนี้ พลิกบทบาท
น่าแปลกใจที่คนคนหนึ่งจะ พลิก
จากสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองแบบหนึ่ง
ไปสู่สิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองอีกแบบหนึ่ง
คนที่ทำได้คงจะเก่งมากจริงๆ
คนเราที่ไม่ใช่นักแสดงเล่า
จะเคย พลิกบทบาทกันบ้างหรือเปล่านะ


ตอนเด็กๆ หนอเป็นเด็กที่เงียบมาก
จะว่าเรียบร้อยก็ได้
หลักๆ มันมาจากความไม่อยากยุ่งกับคนอื่น
แม่จะเรียกลักษณะนี้ว่า เปิ่น
แต่หนอคิดว่าทั้งหมดนี้มันมาจาก รากเดียวกัน
หนอเลือกที่จะเงียบกับคนทั่วไป
หนอไม่พูดกับคนอื่น
แต่พูดมากกับเพื่อนๆ แทน


หนอไม่เคยกล้าแสดงออกเลยตลอดชีวิตวัยเด็ก
จำได้ว่าเหตุการณ์ที่ทำให้มีความกล้าขึ้นบ้าง
เกิดขึ้น 2 ครั้ง แต่ละครั้งมีการ “Up Level”
คือตอนมัธยม 1 กับตอนมหาวิทยาลัยปี 2
จนมาทุกวันนี้หนอถือว่าตัวเองกล้าพูดกล้าคุยพอสมควร
ทั้งกับคนแปลกหน้า คนกึ่งแปลกหน้า และคนคุ้นเคย
กระทั่งว่าหนอสามารถทำให้ทุกที่ไม่มี “Dead Air”
หลายคนบอกว่ามันเป็นความสามารถพิเศษ


มานั่งนึกดูดีๆ แล้ว
มันอาจจะไม่ได้พิเศษอะไรหนักหนาหรอก
เพียงแต่คนทั่วไปไม่ได้ใส่ใจจะพูดจะคุย
คนที่พยายามพูดพยายามคุยเลยมีอยู่ไม่มาก
เลยดูว่าเป็นความพิเศษไป
มานั่งนึกดูดีๆ แล้ว
หนอไม่ได้ช่างพูดขนาดนั้นเลย
ความเงียบของหนอไม่ได้หนีไปไหน


คนที่ใกล้ชิดมากๆ จะรู้ว่าหนอค่อนข้างสันโดษ
อาการหนึ่งที่แสดงออกคือเงียบ
แต่คนส่วนใหญ่มักไม่รู้
ส่วนหนึ่งเพราะไม่มีใครรับรู้
ในเมื่อ เงียบเสียแล้ว ก็ ไม่ได้ยิน
อีกส่วนหนึ่งเพราะหนอดูเป็นคน ไม่เงียบในโลก Online
ซึ่งก็ไม่ใช่การ สร้างตัวตนขึ้นมานะ ทุกอย่างเป็นตัวจริง
หนอแค่มีนิสัยที่ต่างกันสุดขั้วอยู่ในตัวเอง ก็เท่านั้น


คนที่นิสัยต่างกันสุดขั้วนี่เข้าใจยากนะ
แม้แต่ตัวเองยังต้องใช้เวลาทำความเข้าใจเลย
เอาเป็นว่า ถ้าให้หนอสมมุติตัวการ์ตูนขึ้นมาตัวหนึ่ง
เพื่อที่จะแสดง Character ของหนอออกมาให้หมด
ตัวการ์ตูนของหนอคงใส่กระโปรง Tutu บานฟูสีชมพู
ขับรถ Sport รุ่นล่าสุดสีดำด้านทั้งคัน
นิสัยหนอต่างกันสุดขั้วประมาณนั้น
ไม่ขาดไม่เกิน


ตอนนี้หนอก็ยังเป็นคนที่พอเงียบก็เงียบมาก
จะว่าเรียบร้อยก็ยังพอได้อยู่ แต่ก็เป็นคนละบริบทกับตอนเด็ก
หนอยังมี ความไม่อยากยุ่งกับคนอื่นอยู่เหมือนเดิม
แม่คิดว่าหนอ เปิ่นเหมือนเดิม
หนอคิดว่านิสัยโดยรวมหนอเหมือนเดิม
หนอเลือกที่จะเงียบกับบางคน ต่างกันที่ตรง
หนอไม่พูดกับเพื่อนๆ
แต่พูดมากกับคนอื่นแทน


โลกทุกวันนี้ช่างเอื้อต่อการพูดคุยกับ คนอื่น
หนอเรียนรู้ที่จะแสดงออกกับคนแปลกหน้าที่ไม่เคยเจอ
เมื่อเจอก็ไม่เคอะเขิน ซึ่งก็สนุกดี
ยิ่งอายุมากขึ้น การสนทนากับคนแปลกหน้ายิ่งสนุก
กับคนใกล้ชิดต่างหาก ที่ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งต้องคิด
เมื่อยิ่งคิดก็ยิ่งเก็บ เมื่อยิ่งเก็บก็ยิ่งไม่พูด
หนอเลือกที่จะเงียบกับคนคุ้นเคย
เพราะบางครั้งก็เหนื่อยเกินไปที่จะอธิบาย


เพื่อนสนิทหนอคนหนึ่งเคยพูดว่า
กูไม่เข้าใจมึง... หลายอย่าง
บางอย่างที่เข้าใจ... กูก็ไม่เห็นด้วย
แต่ทีนี้ ถ้ากูต้องการรักษาความเป็นเพื่อน
กูก็รู้ว่าต้องปล่อยให้มึงเป็นมึงไป... ไม่พูดอะไร
จริงๆ ในใจหนอชะงักตั้งแต่มันบอกว่าไม่เข้าใจแล้วล่ะ
ลึกๆ มันก็ Shock นะที่อยู่ๆ เพื่อนสนิทมาพูดอย่างนี้
แต่ก็ดี การพูดตรงๆ ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น หนอชอบให้เป็นอย่างนั้น


ที่ยกตัวอย่างมานี้
หนอแค่ต้องการจะบอกว่า
ชีวิตคนเรานี่ก็ตลกดีนะ
ตอนเด็กเราเงียบกับคนภายนอก
ตอนโตเรา(ต้องรู้จักที่จะ)เงียบกับคนภายใน
ชีวิตคนเรานี่มัน พลิกเสียยิ่งกว่า พลิก
พลิก แล้ว พลิกอีก
ทั้งบทบาททั้งคำพูด


หนอยังคงอ่านข่าวบันเทิงเจอเนื้อความทำนองนี้บ่อย
พลิกบทบาท
แต่ก็ได้แต่ยิ้มมุมปากกับตัวเอง
ตัวเรานี้พลิกบทบาทของเราได้ดีพอหรือยัง
แล้วอนาคตยังจะต้องพลิกไปทางไหนอีก
ถ้าไม่พลิก... จะเกิดอะไรขึ้น
คุณผู้อ่านเคย พลิกกันบ้างหรือเปล่าคะ?
แล้ววันนี้... คุณพร้อมจะ พลิกบทบาทอีกหรือยัง?

April 26, 2013

ยับ

หนอจะลองทำหนังสือทำมือค่ะ
นับเป็นเป้าหมายที่สูงส่งมาก
สำหรับคนที่ไม่เคยทำงานฝีมือใดใดออกมาได้ดี


หนอซื้อกระดาษลายสวยๆ มาตัดเป็นขนาดที่ต้องการ
เศษกระดาษเกลื่อนพื้นไปหมด
กระดาษห่อเอย ใบเสร็จรับเงินเอย


ลมกระโชกมาทางหน้าต่าง
กระดาษที่น้ำหนักเบาหน่อยกระจายไปคนละทาง
หนอยังคงตัดกระดาษในมือต่อไป


ใบเสร็จรับเงินปลิวผ่านหน้า
หนอคว้าใบเสร็จรับเงินนั้นมาขยำลวกๆ
ทิ้งมันไว้ที่เดิม แล้วตัดกระดาษต่อไป


ก้อนใบเสร็จรับเงินแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น
จนหนอตัดกระดาษเสร็จ
มันยับยู่ยี่ แต่ก็ไม่ได้ปลิวไปตามแรงลม


มันไม่ได้มีน้ำหนักมากขึ้นหรอก
มันมีพื้นที่รับลมน้อยลง
มันจึงไม่ปลิวไปตามแรงลม


กระดาษที่ยับยู่ยี่ไม่ปลิวไปตามแรงลม
กระดาษต้องยับ จึงจะไม่ปลิว
บางทีความไม่เรียบสวยก็เป็นข้อดี


หนอเก็บกวาดพื้นที่นั่งตัดกระดาษ
ใช้เวลาจ้องมองความไม่เรียบสวยนั้นอยู่สักครู่
นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้


หัวใจที่ยับยู่ยี่ก็คงไม่ปลิวไปตามแรงลมเหมือนกันสินะ
หัวใจต้องยับ จึงจะไม่ปลิว
บางทีความไม่เรียบสวยก็เป็นข้อดี


ความไม่เรียบสวยทำให้เราหนักแน่นใช่หรือไม่
หัวใจที่มีแผลเป็นหัวใจที่แข็งแกร่งขึ้นใช่หรือไม่
เราจำเป็นต้องเจ็บปวดจึงจะเติบโตได้ใช่หรือไม่


รอย ยับทำให้เราทนทานต่อชีวิตสินะ
เราจำเป็นต้องอยู่กับความ ยับ นี้ให้ได้
ต้องมองว่ามันสวย ต้องยิ้มกับมันได้


เราควรพอใจที่เรา ยับ
เราควรขอบคุณโชคชะตาที่เรา ยับ
สุดท้าย มันทำให้เราไม่ปลิวไปตามแรงลม


แล้วหนอก็เลิกตั้งคำถาม
คำถามที่ว่าทำไมเราบางคนถึงต้องผิดหวัง
สุดท้าย ความผิดหวังทำให้เราไม่ปลิวไปตามแรงลม


แล้วหนอก็ได้คำตอบ
คำตอบสำหรับหลายอย่างที่กำลังคิดไม่ตก
สุดท้าย หนอก็ยิ้มกับมันได้

April 25, 2013

ลุง

ลุง Taxi แนะนำตัวยืดยาว
ทันทีที่หนอก้าวขึ้นนั่ง
ลุงแนะนำตัวจบก็อวยพรให้มีความสุข
เช่นกันค่ะหนอตอบไปส่งๆ
รู้สึกว่าลุงแปลก ทำไมต้องทำอะไรให้ยาก
แต่หนอก็ตอบไปตามมารยาท
หนอหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาเพื่อน
เพื่อบอกว่ากำลังจะไปหาที่บ้าน
ให้เตรียมตัวไว้ ถ้ายังไม่ลุกจากที่นอนก็ลุก
ส่วนหนึ่งที่โทรนั้น ลึกๆ ก็คืออยากตัดบทลุงด้วย
ลุงจะได้ไม่เหนื่อยพูดยืดยาว
แต่ก็นั่นแลนะ เสียมารยาทอยู่เหมือนกัน


หนอคุยโทรศัพท์ได้ใจความแล้วก็รีบวาง
ส่วนหนึ่งเพราะรู้สึกผิดต่อลุง
อยากขอโทษลุงที่เสียมารยาท
แต่ทันทีที่หนอวางโทรศัพท์
คนที่รีบกล่าวคำขอโทษกลับเป็นลุง
ขอโทษด้วยนะครับลุงบอก
ไม่เป็นไรค่ะ หนูก็ต้องขอโทษด้วย
เผอิญว่าหนูจำเป็นต้องคุยกับเพื่อน
หนอบอกไปอย่างนั้น ซึ่งก็โกหกเสีย 50%
(รีบโทรเพราะอยากตัดบทลุงต่างหาก)
แล้วลุงก็อธิบายโครงการที่ผ่านการอบรมมาให้ฟัง
เป็นโครงการสอนภาษาอังกฤษและอีกหลายอย่าง
ตามที่หนอเขียนใน Blog ไปบ้างตอนที่แล้ว – ที่นี่


จากนั้นหนอก็เป็นฝ่ายชวนลุงคุยเสียเอง
ส่วนหนึ่งเพราะรู้สึกผิดต่อลุง
หนอเริ่มจากการถามเกี่ยวกับการอบรม
ลุงตอบอย่างภูมิใจมาก
ถ้าใครได้ฟังพร้อมกับหนอตอนนั้นก็คงคิดอย่างนี้
เราคุยกันไปเรื่อย
หนอตอบรับทุกคำ
และชวนคุยต่อมากขึ้น
ส่วนหนึ่งเพราะไม่อยากผิดต่อลุงอีก
ผู้ใหญ่ถามต้องรับคำ ต้องตอบเต็มประโยค
ต้องไม่พยักหน้าใส่ลอยๆ ... แม่สอนไว้
แล้วหนอก็ชวนคุยไปเรื่อย


หนอคิดมาตลอดว่าคนขับ Taxi ต้องเบื่อชีวิต
การนั่งจับเจ่าอยู่ในรถท่ามกลางการจราจรต้องน่าเบื่อแน่ๆ
เพราะฉะนั้น ถ้าเจอคนขับ Taxi ที่ดูอารมณ์ดีหน่อยชวนคุย
หนอก็มักจะตอบ จะมากจะน้อยก็ตอบ
คิดเสียว่าคุยเป็นเพื่อนเขา
ไม่ใช่แค่กับคนขับ Taxi ด้วย
จะพนักงานบริการที่ไหน
หนอก็มักจะตอบรับอย่างดี
โดยเฉพาะเวลาไปไหนคนเดียว
เวลาไม่ต้องวุ่นวายกับเพื่อนหรือคนรอบข้าง
ถ้าอารมณ์เสียหน่อย ก็ตอบรับตามสมควร
ถ้าอารมณ์ดีหน่อย ก็ชวนคุยยิ้มแย้มเป็นพิเศษ


เรียนจบหรือยังครับลุงถาม
กำลังจะจบปริญญาโทค่ะ
โอ ลุงนึกว่าอายุ 17-18”
ไม่หรอกค่ะ ลุงผิดไป 10 ปีเลยนะ
(ลุงผิดไปมากจริงๆ หนอเพิ่งจะครบ 27)
คนเรียนสูงๆ นี่... หายากนะครับ...
ที่จะมาคุยกับคนอย่างพวกผม
ลุงพูด
ไม่จริงหรอกค่ะ หนูว่าแล้วแต่คนนะ
หนอพูด
ซึ่งมันก็จริงนี่นะ หนอคิดว่ามันแล้วแต่คน


วันนี้ขอให้คุณมีวันที่ดีนะครับ
หวังว่าบทสนทนาเล็กน้อยจะทำให้คุณอารมณ์ดี
เห็นคุณหัวเราะ เห็นผู้โดยสารหัวเราะได้ ผมก็ดีใจ...
ลุงอวยพร
... แล้วก็ฝากชมคุณพ่อคุณแม่คุณด้วย
ท่านเลี้ยงคุณมาดีมาก กิริยามารยาท
การพูดการจาคุณดีเหลือเกิน
ที่เขาว่ากันว่าดูนางให้ดูที่แม่นี่ท่าจะจริงนะครับ
คุณดูจะมีพร้อมทุกด้าน แล้วยังไม่ถือตัวอีก
ลุงชมยาวจนแทบจะตอบรับไม่ถูก
ไม่มีคนชมหนออย่างนี้มานานมาก
แม่สอนหนอมาดีจริงๆ แต่หนอไม่เคยคิดถึงจุดนี้เลย


หนอขอบคุณลุงไปมากมาย
เพราะหนอทำได้ดีที่สุดแค่นั้น
ซึ่งมันไม่ใช่แค่การขอบคุณสำหรับคำชมหรอก
แต่มันยังรวมถึงการขอบคุณ
สำหรับการทำให้หนอนึกขอบคุณพ่อกับแม่
ของที่ติดอยู่กับตัวเรานี่เราไม่ค่อยเห็นนะ
ไม่ค่อยเห็นว่าดีว่าชั่ว
มารู้เอาตอนคนอื่นบอก
แล้วถ้าเขาบอกว่าชั่วก็ไม่ค่อยเชื่อเขาอีก
คนเรามักคิดเข้าข้างตัวเองเสมอ
แต่วันนี้ลุงมาบอกว่าดีหนอก็ไม่ค่อยเชื่อนะ
หนอไม่เคยมองตัวเองดีขนาดนั้น


จนวันนี้หนอยังไม่เชื่อเต็มร้อยนะ
ที่ลุงบอกว่าหนอดี
แต่หนอเชื่อเต็มร้อย
ที่ลุงบอกว่าพ่อกับแม่สอนมาดี
มันจริงที่สุดแล้ว
พ่อกับแม่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้เราเสมอ
สอนสิ่งที่ดีที่สุดให้เราเสมอ
พรที่พ่อแม่ให้มันอยู่กับตัวเรานี่แล
เรารับรู้มันหรือเปล่า มากหรือน้อย เท่านั้นเอง
เราดี อย่างที่พ่อแม่อยากให้ดีหรือเปล่า เท่านั้นเอง
อย่างนี้แล้ว กิริยามารยาทที่ดีคงไม่ต่างจากมรดกสินะ
พ่อแม่ยกให้ลูก เพื่อให้ลูกยกให้ลูกหลานตัวเองต่อไป


วันนี้คุณทำดีเพื่อ(แสดงให้เห็นถึงการอบรมที่ดีของ)พ่อแม่หรือยังคะ?