“การไม่เหลืออะไรเป็นการเหลืออะไรอย่างหนึ่ง”
...
หรือเปล่าก็ไม่รู้
แต่หนอคิดมาเพื่อล้อกับประโยคที่เด็กรัฐศาสตร์ต้องเคยได้ยิน
“การไม่ตัดสินใจเป็นการตัดสินใจอย่างหนึ่ง”
ที่เขียนว่าการไม่เหลืออะไรเป็นการเหลืออะไรอย่างหนึ่ง
หมายถึง
การที่ “ใจ” ไม่เหลืออะไรอยู่ ก็นับเป็นเรื่องดีได้
การที่เรา
“ไม่เหลืออะไร” นั้นไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไปนี่คะ
ลองอ่านเรื่องที่หนอกำลังจะเล่านี้ดู
หนอชอบเพื่อนคนหนึ่งค่ะ
ชอบที่คุยกับเขาถูกคอ
คุยกับเขาได้ทุกเรื่อง
ทั้งที่เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน
เรียกว่าคุยกับเขาได้อย่าง
“สนิทใจ”
ก็คงไม่ผิดนัก
จนกระทั่งวันหนึ่งมีเรื่องให้
“ผิดใจ”
กัน มีปัญหากัน
หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือ
หนอมีปัญหากับเขาฝ่ายเดียว
เพราะเขาทำบางอย่างที่หนอ
-ในฐานะเพื่อน-
รับไม่ได้
หนอโกรธมากขนาดที่บอกเขาว่าไม่ต้องมาติดต่อกันอีก
และหลังจากวันนั้นเราก็ไม่ได้คุย
ไม่ได้เจอกันอีกเลย
หนอใช้เวลาที่โกรธนี้ทำความรู้จักกับตัวเองให้มากขึ้น
รู้จักสาเหตุของความโกรธ
รายละเอียดของความโกรธ
จนหนอสรุปได้ว่าความโกรธนั้นไม่ใช่อารมณ์หลัก
มันคือทั้งโกรธ
เสียใจ และที่มากที่สุดก็คือผิดหวัง
ผิดหวังในตัวเพื่อน
ถึงได้โกรธ ถึงได้ไม่อยากเป็นเพื่อนกันอีก
ผิดหวังที่เคยคิดว่าเวลามีอะไรจะคุยกันได้ตรงๆ
แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น
ผิดหวังที่เคยไว้ใจปรึกษาเรื่อง
(ส่วนตัว) ต่างๆ แต่เขาทำลายความไว้ใจนั้น
ผิดหวังที่เขาเลือกฟังข้อมูลเกี่ยวกับหนอจากคนอื่น
มากกว่าที่จะฟังจากหนอ
ทั้งหมดนั้น
และอีกหลายความรู้สึกแย่ๆ ที่เข้ามา จนกลายเป็นความเกลียด
ถ้าเราเกลียดคนที่เราเคยชอบ
เราควรจะทำอย่างไรคะ?
หลังจากที่หนอทำความรู้จักกับตัวเอง
หาสาเหตุของความโกรธแล้ว
หนอยังทำความรู้จักกับตัวเพื่อน
และหาสาเหตุของสิ่งที่เขาทำด้วย
ในที่สุด
หนอก็พอจะเข้าใจวิธีคิดของเพื่อนคนนั้น เข้าใจว่าเขาทำทำไม
ที่สำคัญคือตามตรรกะของเขา
เขาไม่ได้อยากทำร้ายความรู้สึกหนอ
แต่ถึงอย่างนั้น
หนอก็ยังโกรธเขาอยู่นั่นแหละ เข้าใจแต่ไม่ได้หายโกรธ
แล้วโกรธคนนี่มันเหนื่อยนะ
ความโกรธนี่เป็นขยะในอารมณ์โดยแท้
วันหนึ่ง
หลังจากที่พยายามคิดทบทวนมาสักพัก หนอเลยสรุปเอาง่ายๆ
“ชาติก่อนคงไปทำเขาโกรธไว้ ชาตินี้เขาเลยตามมาทำให้โกรธ”
ไหนๆ
เรื่องภพชาติก็ไม่มีข้อพิสูจน์อยู่แล้ว ก็โยนให้เป็นเรื่องภพชาติไป
ทำใจคิดอย่างนั้น
แล้วหนอก็ตื่นมาสวดมนต์ ทำบุญ กินมังสวิรัติจริงจัง
กรวดน้ำขออโหสิกรรมและอุทิศบุญกุศลที่ทำให้เพื่อน
อธิษฐานให้เขาโชคดี
ใจมันก็สบายขึ้นจริงๆ
เหมือนเราปล่อยเขาไปได้แล้ว ไม่โกรธไม่เกลียดแล้ว
สรุปความรู้สึกต่อเพื่อนคนนี้ก็คือ
ชอบ แต่พอโกรธก็เลิกชอบไป
โกรธ
แต่พอสงบก็เลิกโกรธไป ตอนนี้เหลือแต่ความสงบ ความเฉยๆ
เหมือนกด
Reset ใจใหม่ และตอนนี้แหละที่ใจหนอ “ไม่เหลืออะไร”
แล้ว
แต่
“ไม่เหลืออะไร”
ก็ไม่ใช่ “ไม่มีอะไร” เพราะมันมีความสงบสุขมาแทนที่
จะไม่เรียกว่า
“การไม่เหลืออะไรเป็นการเหลืออะไรอย่างหนึ่ง” ได้อย่างไร
ใครที่มีความรู้สึกแย่ๆ
อยู่ ลองปล่อยวางดูบ้างนะคะ ค่อยเป็นค่อยไปก็ยังดี
อย่าปล่อยให้ความรู้สึกที่มีมากเกินจำเป็นมาทับถมใจเราเลยนะคะ
No comments:
Post a Comment