ฉึกฉัก
ฉึกฉัก ปู๊นปู๊น
ถึงก็ช่าง
ไม่ถึงก็ช่าง
นั่นคือเสียงรถไฟที่คุณยายบอก
นั่นคือเสียงรถไฟที่หนอนึกถึงตลอดวัยเด็ก
ถึงก็ช่าง
ไม่ถึงก็ช่าง
ถ้าไม่ถึงนี่ก็คือต้องนั่งไปเรื่อยๆ
ใช่ไหม
แล้วคนนั่งรถไฟเขาไม่มีจุดหมายกันหรือ
ถึงได้นั่งไปได้เรื่อยๆ
ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง
ทำไมคนเราถึงเปรียบเทียบผู้หญิงกับรถไฟ
ในกรณีที่อายุมากและยังไม่แต่งงาน
ผู้หญิงอายุ
30 ปีขึ้นไป และยังไม่แต่งงาน
เข้าสู่ช่วง
“รถด่วนขบวนสุดท้าย”
จริงหรือ
ทำไมการแต่งงาน
(สำหรับหลายๆ คน) ถึงได้
ดูเป็นหมุดหมายสำคัญในชีวิตขนาดนั้น
แล้วทำไมถึงมีแค่
“ผู้หญิง”
ที่ถูกเรียกว่า
“รถด่วนขบวนสุดท้าย”
เท่าที่หนอเจอมากับตัวเอง
ผู้ชายก็กังวลเรื่องการแต่งงานมากพอๆ
กัน
หนอเคยได้ยินผู้ชายบ่นว่าอยากแต่งงาน
มากกว่าได้ยินผู้หญิงบ่นด้วยซ้ำไป
ที่น่าแปลกใจไปกว่านั้นก็คือ
ผู้ชายที่บ่นเหล่านั้นไม่มีแฟน
จะเรียกว่าบ่นข้ามขั้นก็ได้
ซึ่งเขาก็มีสิทธิ์ที่จะบ่น
แต่นั่นหมายความว่าถ้าใครมาเป็นแฟน
ก็จะสามารถคิดถึงเรื่องแต่งงานได้ทันทีใช่หรือไม่
ไม่ต้องรักมาก
แต่มาถูกที่ถูกเวลา
ก็สามารถแต่งงานด้วยได้ใช่หรือไม่
พี่ผู้ชายคนหนึ่งเคยเล่าให้หนอฟังว่า
ตรรกะการแต่งงานของผู้ชายไม่เหมือนผู้หญิง
เขาบอก
ผู้ชายพอถึงวัยหนึ่งจะอยากแต่งงาน
ผู้หญิงที่เข้ามาในช่วงเวลานั้น
ถ้าพอใช้ก็ถือว่าผ่าน
ผ่านในที่นี้คือจะไม่คิดมากเวลาที่ต้อง “ยกระดับ”
ความสำคัญของเธอคนนั้น
จากแฟนมาเป็นภรรยา
ฟังอย่างนี้แล้วรู้สึกแปลกๆ
ช่างเป็นความรู้สึกที่
ห่างไกลจากตอนจบในเทพนิยายที่คุ้นเคย
เราปล่อยให้
“เวลา”
มากะเกณฑ์ชีวิต
มากเกินจำเป็นไปหรือเปล่า
ทั้งผู้หญิงผู้ชายต่างก็กดดันตัวเอง
ด้วยข้อจำกัดด้าน
“เวลา”
กันทั้งนั้น
ต้องประสบความสำเร็จก่อนอายุเท่านั้น
ต้องมีบ้านมีรถก่อนอายุเท่านี้
ต้องมีแต่งงานเมื่ออายุเท่านั้น
ต้องมีลูกเมื่ออายุเท่านี้
ชีวิตจริงเราสามารถกำหนดได้ขนาดนั้นเชียวหรือ
และการทำไม่ได้ตามนั้นถือว่าล้มเหลวมากเชียวหรือ
เราควรยอมให้
“เวลา”
มามีผลกับเรา
มากกว่าการหา
“ความสุขที่แท้จริง”
หรือเปล่า
เราพร้อมทำงานนี้ไหม
เราพร้อมซื้อบ้านซื้อรถไหม
เราพร้อมจะรักและใช้ชีวิตร่วมกับ
คนคนหนึ่งไปชั่วชีวิตไหม
เราพร้อมที่จะสร้างคนคนหนึ่ง
มาให้เป็นประโยชน์กับโลกใบนี้ไหม
ทุกอย่างที่ว่ามานี้
ถ้าไม่พร้อม
ต่อให้เรามีมันอยู่ตรงหน้าก็ไม่มีความสุข
“รถด่วนขบวนสุดท้าย” ไม่มีอยู่จริงหรอก
เพราะพอถึงวันรุ่งขึ้นก็มีขบวนใหม่เสมอ
ฉึกฉัก
ฉึกฉัก ปู๊นปู๊น
ถึงก็ช่าง
ไม่ถึงก็ช่าง
เราไม่ต้องกลัวว่ามันจะไม่ถึงหรอก
ใช้เวลาชมวิวสองข้างทางให้พอ
การถึงจุดหมายช้าเร็วไม่น่ากลัว
เท่ากับการที่เราติดอยู่ในความรักที่ไม่คู่ควร
ไม่คู่ควรในที่นี้ไม่ได้หมายถึง
ความแตกต่างด้านสถานะทางสังคม
แต่ไม่คู่ควรที่หนอว่าหมายถึง
ความแตกต่างด้านปริมาณความรักต่างหาก
ทุกความรักมีปัญหาได้ไม่จบไม่สิ้น
เมื่อทั้งสองฝ่ายรักไม่เท่ากัน
ใครจะรักเราจริง
ไม่รักเราจริง ก็ช่างเขา
เราอยู่ของเราได้สำคัญกว่า
เรารักตัวเองให้พอ
เคารพตัวเองให้พอ
แค่นี้ก็พบ
“ความสุขที่แท้จริง” ได้แล้ว
...
รักก็ช่าง ไม่รักก็ช่าง...
ถ้าเรารู้จักตัวเอง และรู้ทันตัวเองมากพอ
ReplyDeleteก็คงเป็นอิสระจากเงื่อนไข ที่เราไม่ได้ตั้งขึ้น
แล้วก็คงจะไม่ต้องไปทำร้ายความรู้สึกใครๆ
หรือทำร้ายความรู้สึกตัวเอง
จากความไม่รู้
แต่ความคลาสสิคมันอยู่ที่การค้นหาและทำความรู้จักกับตัวเอง
ในหนึ่งช่วงชีวิตคนเรา อาจเจอตัวเราในหลายแง่มุม ที่ไม่ซ้ำกันเลยก็ได้ : )
และตัวตนของเราก็เปลี่ยนไปตามสภาวะแวดล้อมเช่นกัน
Deleteเพราะฉะนั้น เราต้องไม่หยุดที่จะเรียนรู้ตัวเองด้วย :)
รักก็ได้ เธอจะไม่รักก็ได้ <<< เกี่ยวไรกะบล็อค 555
ReplyDelete