June 30, 2013
เขย่งก้าวกระโดด
หนอมีสัตว์ที่กลัว
กลัวทั้งสัตว์ทั้งความสูง
เป็น Phobia
ทำอะไรไม่ได้
วิธีหนึ่งที่ใช้รักษาความกลัวประเภทนี้
ก็คือการให้เผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัว
(Exposure)
ซึ่งทรมานจิตใจผู้ป่วยมาก
หนอกำลังคิดว่า
มนุษย์ก็จำเป็นต้องใช้ชีวิต
ด้วยตรรกะทำนองนี้
เผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัว
ส่วนหนึ่งของการเติบโต
ทางจิตใจและทางอารมณ์
ควรต้องอาศัยวิธีนี้ด้วย
เลิกหันหลังให้กับสิ่งที่ต้องการหลีกหนี
อุปสรรคที่ขวางทางเรา
ไม่ว่าจะเลี่ยงให้ไม่เจออย่างไร
มันก็จะหาทางมาขวางหน้าเราอีกจนได้
สุดท้ายก็ต้องทำอะไรกับมันอยู่ดี
หนอเชื่อว่านานๆ
ครั้ง
การออกไปเจอกับ
อะไรที่เราเลี่ยงมาตลอด
เป็นเรื่องที่
Healthy
ด้วยซ้ำ
เราไม่มีทางรู้ได้ว่าเราแข็งแกร่งขึ้น
จนกระทั่งเราสามารถข้ามพ้น
อุปสรรคที่เราเคยประมาณ
ว่ามันใหญ่โตเสียเหลือเกิน
เรารู้ได้อย่างไรว่าอุปสรรคนั้นใหญ่โต?
เรารู้ได้อย่างไรว่าเราก้าวข้ามมันไม่พ้น
ในเมื่อเราไม่เคยลองเขย่ง
ก้าว และกระโดดข้ามมันเลย
June 26, 2013
ในห้องนี้มีคนคนเดียว
วันนี้มีงานเลี้ยง
ทุกคนเตรียมตัวกันมาเป็นอาทิตย์
ชุดพร้อม
อาหารพร้อม เกมพร้อม
นี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของปี
เวลาที่จะไม่มีคนเหงา
ผู้คนกระจุกตัวรวมกันอยู่ที่ไหนสักแห่ง
เป็นกลุ่มเป็นก้อน
ส่วนฉันก็อยู่ที่นี่
กระจุกตัวรวมกันอยู่กับคนเหล่านี้
กลุ่มคนที่รัก
ที่มอบรอยยิ้มให้กันมาตลอด
ชุดที่ใส่ดูจะไม่สำคัญ
เมื่อพวกเรามาอยู่รวมกัน
เพราะมัวแต่สนุกจนลืมสิ่งรอบตัว
อาหารที่เตรียมดูจะไม่สำคัญ
เมื่อบรรยากาศที่สัมผัส
อร่อยกว่าอาหารที่ลิ้มรส
เกมที่เล่นดูจะไม่สำคัญ
เมื่อจิตใจจดจ่อกับคนที่กำลังเล่น
มากกว่าสิ่งที่กำลังเล่น
แล้วเธอก็เดินเข้ามา
แล้วเวลาในห้องนี้ก็หยุดลง
ชุดที่ใส่ไม่เคยสำคัญ
อาหารที่เตรียมไม่เคยสำคัญ
เกมที่เล่นไม่เคยสำคัญ
ห้องที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
กิจกรรมต่างๆ
รอบข้างที่วุ่นวาย
แทบไม่มีใครได้อยู่กับที่
ฉันมองหาแต่เธอ
ในห้องที่วุ่นวายนั้น
ฉันฟังแต่เสียงของเธอ
ในห้องที่อื้ออึงนั้น
ฉากขาวดำกั้นผู้คนออกไป
เหมือนว่าในห้องนี้เหลือแค่เราสองคน
แล้วตัวฉันก็ค่อยๆ
ลอยหายไป
เหมือนเป็นอากาศเบาๆ
ฉันปลิวออกไปนอกหน้าต่าง
ตามสายตาของเธอ
เพราะฉันอยากถูกเธอจับจ้อง
และจับจอง...
แล้วห้องห้องนั้นก็เหลือเพียงคนคนเดียว
ห้องที่จัดงานเลี้ยง
แล้วห้องห้องนี้ก็มีเพียงคนคนเดียว
ห้องที่ในหัวใจ...
ของฉัน
June 25, 2013
การเลือกครั้งสุดท้าย
ชีวิตเราเต็มไปด้วยความเสี่ยง
ซึ่งความเสี่ยงนั้นเกิดจากทางเลือกที่เรามี
ถ้าเราไม่มีทางเลือกเอาเสียเลย
ชีวิตก็คงดำเนินไปตามบุญตามกรรม
และเราก็คงจะยอมรับมันได้
เพราะมันไม่มีหนทางให้เลือกตั้งแต่แรก
ไม่มีผลอย่างอื่นให้คาดคะเน
ไม่มีอะไรให้ชั่งน้ำหนัก
ให้เปรียบเทียบ
ในห้องเรียนวิชาบริหาร
เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นว่า
“เราเรียนการบริหารความเสี่ยง
เพราะองค์กรมีความเสี่ยง
ชีวิตมีความเสี่ยง
และความรักก็เช่นกัน”
ช่างเชื่อมโยงเสียจริง
พ่อคุณเอ๊ย
แต่จะว่าไป
ก็จริงของมัน
เมื่อชีวิตมีทางเลือก
เรามักพยายามคำนวณก่อนที่จะเลือก
คาดเดาไปล่วงหน้าว่าผลที่ได้จะคุ้มหรือไม่คุ้ม
การที่เราเลือกทางใดทางหนึ่งนั้น
จะต้องเสียอะไรไปบ้าง
และจะได้อะไรกลับมาบ้าง
สุดท้าย
ถ้าเปรียบเทียบไม่ได้ชัดเจน
อาจจะพาลไม่เลือก
ไม่เสี่ยงเอาเสียดื้อๆ
บางทีเราไม่ต้องรู้แน่ว่า
“มันจะคุ้ม”
หรอก
แค่รู้สึกว่า
“มันอาจจะคุ้มก็ได้”
ก็พอ
ที่จะให้เลือก
ให้เสี่ยง ให้ตัดสินใจแล้ว
เพราะคนที่
play safe มาตลอดชีวิต
ไม่มีทางที่จะได้รับอะไรเกินจาก
average
ของสิ่งที่เขาลงแรงไปอยู่แล้ว
การลงทุนชีวิตอย่างพอประมาณ
ก็จะได้กำไรชีวิตอย่างตามสมควร
บางครั้ง
เราหวังว่าเราจะไม่ต้องเลือกอีกต่อไป
เราหวังให้การเลือกนั้นเป็นการเลือกครั้งสุดท้าย
จะได้ไม่ต้องทนรับรู้
ว่าจะต้องเสียต้องได้อะไร
ต้องหักหาญน้ำใจใครบ้าง
ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้
การเลือกครั้งสุดท้ายไม่เคยมีอยู่จริง
ตราบใดที่เรายังคงมีชีวิตอยู่
เราก็ยังคงต้องเลือก
ต้องเสี่ยง ต้องตัดสินใจ
หนึ่งการตัดสินใจของเรา
ต้องมีคนเจ็บปวดอยู่แล้ว
ขึ้นอยู่กับว่าเราเอาใครเป็นตัวตั้ง
เมื่อยึดถือความรู้สึกคนอื่นๆ
รอบข้าง
ก็อาจจะเบียดเบียนความรู้สึกตัวเอง
ถ้าเรามัวแต่เกรงใจคนอื่น
ก็เท่ากับว่าเราเลือกที่จะเข้าเนื้อ
ไม่หักหาญน้ำใจตัวเขา
ก็ต้องหักหาญน้ำใจตัวเราเอง
เมื่อลองคิดดูอีกครั้ง
การเลือกครั้งสุดท้ายอาจจะมีอยู่
ในกรณีที่การเลือกนั้นสามารถทำได้ครั้งเดียว
คือเมื่อเลือกไปแล้ว
จะไม่มีโอกาสแก้ไขได้อีก
บางครั้ง
เราเลือกตัดบางสิ่งบางคนออกจากชีวิต
เพียงเพื่อจะใช้ชีวิตที่เหลือเสียใจกับการกระทำนั้น
บางสิ่งบางคนที่ถูกตัดออกไปไม่ย้อนกลับมาอีกแล้ว
นับเป็นการเลือกที่ผิด
ที่พลาด ที่ไม่ดี หรือเปล่านะ
ไม่มีทางเลือกที่ดีหรือทางเลือกที่ไม่ดีหรอก
คนเราเลือกทางที่ตัวเองอยากเลือก
แล้วก็ได้แต่หวังว่าผลของการเลือกจะออกมาดี
เราหวังให้สิ่งที่เลือกคนที่เลือกเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
แต่จะไม่มีทางรู้ได้เลย
จนกว่าจะได้เลือกไปแล้ว
และใช้ชีวิตกับมันชั่วระยะเวลาหนึ่ง
กว่าจะรู้ตัวอีกที
ก็เมื่อรู้สึกว่าอยากได้เลือกอีกครั้ง
อย่างที่ว่า
การเลือกครั้งสุดท้ายไม่มีจริง
จะมีก็แต่...
การเลือกครั้งถัดไป
June 24, 2013
วงแหวนโชคชะตา
“ชั่วพริบตานั้น
วงแหวนโชคชะตาก็โอบล้อมทั้งคู่อย่างเงียบๆ
....................
พร้อมกับความทุกข์ทรมาน”
“From
this moment,
the
wheels of their fates begin to turn.
....................
quietly,
relentlessly, insanely.”
รู้สึกเหมือนเพิ่งเขียนถึงการ์ตูนเรื่องนี้ไป
ไม่นึกว่าตัวเองจะอยากเขียนเกี่ยวกับมันอีก
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน
อายุเท่าไร ทำอะไรอยู่
หนอคงหนีการ์ตูนเรื่องนี้ไม่พ้นจริงๆ
มันมีอิทธิพลต่อวิธีคิดของหนอพอสมควร
ทำให้หนอตั้งคำถามกับตัวเองและกับโลกอยู่เรื่อยๆ
ข้อความทั้งสองนี้มาจากเนื้อความตอนเดียวกัน
เป็นกระดาษหน้าที่กระทบจิตใจหนอ
ในฐานะผู้อ่านคนหนึ่งอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อตอนมัธยมต้นเคยสะดุดที่หน้านี้อย่างไร
อีกสิบกว่าปีผ่านไปก็สะดุดที่หน้านี้อย่างนั้น
แม้ว่าอาจจะเป็นด้วยต่างเหตุผลก็ตาม
สมัยก่อนหนอเปิดหน้านี้ค้างไว้
และเศร้าสะเทือนใจไปกับมัน
เพราะรู้จากโครงเรื่องว่าโชคชะตา
ของทั้งสองตัวละครไม่ได้จบดี
ไม่นานมานี้กลับมาอ่านใหม่
ทั้งยังหาเล่มภาษาอังกฤษมาอ่านด้วย
เพียงเพื่อต้องการจะเข้าใจฉากนี้ให้มากกว่าเดิม
โดยไม่ต้องพึ่งพาเพื่อนๆ
ที่รู้ภาษาญี่ปุ่น
หนอยังคงชะงักกับหน้าเดิม
เปิดค้างไว้
และเศร้าสะเทือนใจไปกับมันเหมือนเดิม
เพราะรู้จากประสบการณ์ว่าโชคชะตา
ของคนทั่วไปก็เป็นเช่นนี้
โชคชะตานำพาให้คนเราพบกัน
และนำพาให้แยกจากกัน
โดยที่ทั้งเขาและเราไม่สามารถล่วงรู้
ว่าจะพบจะจากกันอย่างไร
เมื่อไร
เป็นไปได้ว่าโชคชะตาได้กำหนดมาแล้ว
ตั้งแต่วันที่พบ
ให้คนเราทรมานอย่างแสนสาหัส
ในวันที่จาก
หนอสงสัยว่าวงแหวนโชคชะตามีอยู่จริงไหม
แล้วเคยได้โอบล้อมหนอไว้กับใครบ้างหรือเปล่า
การที่เราเดินไปพบกับใครสักคน
ตัดสินใจรับเขาไว้ในชีวิต
แล้วชั่วพริบตานั้น
ก็ตัดสินให้เราทุกข์ทรมาน...
ไปตลอดกาล
การที่วงแหวนโชคชะตาหมุนไปอย่าง
Quietly
(เงียบๆ)
Relentlessly
(ไม่ผ่อนปรน)
Insanely
(บ้าคลั่ง)
เป็นเนื้อความที่อ่านแล้วเจ็บปวด
คนที่ถูกมันโอบล้อมเอาไว้ก็ต้องเจ็บปวด
คำพูดที่ว่า
“โชคชะตาเล่นตลก”
ไม่เคยเป็นเรื่องตลกเลยสำหรับเจ้าของโชคชะตานั้น
วงแหวนโชคชะตาที่หมุนอยู่รอบตัว
โอบล้อมเราไว้กับคนอื่นๆ
โดยที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยง
มักเล่นตลกกับเราโดยที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงเช่นกัน
อย่างเงียบๆ
... อย่างไม่ผ่อนปรน... อย่างบ้าคลั่ง...
ผู้หญิงลาเต้
หนอติดกาแฟ
แต่หนอไม่ใช่คอกาแฟ
รู้สึกว่าต้องดื่ม
แต่ไม่ได้ชอบรสของกาแฟ
ร้านไหนที่ว่าเข้ม
หอม กาแฟดี หนอดื่มไม่ได้
กลายเป็นว่าหนอดื่มแต่อะไรที่อร่อยถูกปาก
เพื่อนฝรั่งจะจัดกาแฟที่หนอดื่มไว้ในประเภท
“กาแฟแฟนซี” คือพวกเมนูฮิตตามร้านดัง
เอารสวานิลลารสคาราเมลมาเป็นจุดขาย
ใส่อะไรบ้าบอจนกาแฟไม่เป็นกาแฟ
สมัยเรียนอยู่ที่เกาหลี
หนอดื่มกาแฟทุกเช้า
ส่วนหนึ่งเพราะต้องตื่นไปเรียนเช้า
อีกส่วนหนึ่งเพราะมันหนาว
ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวที่ยาวนาน
ทำให้ต้องเสียเงินกับเครื่องดื่มร้อนๆ
ไปมาก
เกาหลีเป็นประเทศที่ร้านกาแฟเฟื่องฟูมาก
แต่ประชากรก็ไม่ใช่คอกาแฟขนาดนั้น
ร้านกาแฟที่นั่นมีหลากหลายแบรนด์ให้เลือก
รสชาติก็แตกต่างกันไป
ที่ว่าคนเกาหลีไม่ใช่คอกาแฟคือ
คนส่วนใหญ่
“ดื่มไปอย่างนั้นเอง”
และบาริสต้าก็มักจะตาโตกับออเดอร์เช่น
“แก้วใหญ่สุด” หรือ “เพิ่มช็อต”
เสมอๆ
เพราะไม่ค่อยมีใครสั่งแบบนั้น
มีแต่คนดื่มกาแฟแบบ
“สักแต่ว่าดื่ม”
ร้านกาแฟบางร้านตัวกาแฟหอมมาก
ใช้ของดีจนเพื่อนที่เป็นคอกาแฟออกปาก
แต่หนอก็เฉยๆ
รู้สึกว่ามันก็คล้ายๆ กันหมด
ดื่มได้ทั้งนั้น
ขอให้เป็นเมนูที่ชอบ
หนอไม่พิถีพิถันเรื่องชนิดกาแฟเท่าไร
เพราะฉะนั้นในแง่หนึ่งก็พูดได้ว่า
หนอ
“สักแต่ว่าดื่ม”
เหมือนกัน
เพียงแต่สั่งแก้วใหญ่สุดและเพิ่มช็อตบ้างก็เท่านั้น
ตัวหนอเองไม่ดื่มกาแฟดำเลย
เวลาเข้าร้านกาแฟแปลกหน้าแปลกถิ่น
หนอมักเลือกสั่ง
“ลาเต้”
ความจริงหนอชอบลาเต้เพราะชอบดื่มนม
บางครั้ง
หนอสนใจความมากน้อยของนม
มากกว่าสนใจความเป็นกาแฟของมันด้วยซ้ำ
หนอพร้อมที่จะให้มันทำให้หายง่วง
แต่ไม่พร้อมที่จะให้มันทำให้รู้สึกขม
คนเรากับความรักก็เป็นอย่างนั้น
ใช่หรือเปล่า?
ติดความรัก
แต่ไม่ใช่คอความรัก
รู้สึกว่าต้องมี
แต่ไม่ได้ชอบด้านแย่ๆ ของมัน
สนใจความหวานนุ่มละมุน
แต่ไม่สนใจความขม
พร้อมที่จะให้มันพาให้ตัวลอย
แต่ไม่พร้อมที่จะตกลงมาบนพื้น
หลายคนเลือกมองแต่ด้านดีๆ
ในกาแฟ
ในความรัก
ในสิ่งสิ่งหนึ่ง
ในคนคนหนึ่ง
จนลืมไปว่าทั้งหมดนั้นก็มีด้านที่ไม่ดี
ด้านที่เราไม่ถูกใจ
ด้านที่เราไม่ชอบ...
และอาจจะไม่มีวันชอบ
ชาตินี้ทั้งชาติหนอคงจะไม่ดื่มกาแฟดำเป็นแน่
เหตุผลหลัก
คือ ทนความขมไม่ได้
ก็คงจะดื่มกาแฟนมต่อไป
แล้วก็ได้แต่หวังว่าสิ่งต่างๆ
ในชีวิต
จะหวานนุ่มละมุนและง่ายต่อการเสพเช่นกัน
ทั้งกับความรัก
ทั้งกับคนคนหนึ่งนั้น
ทั้งกับตัวเอง
ขอเป็นผู้หญิงลาเต้ๆ
แบบนี้... ต่อไป
June 19, 2013
คำถามที่ตอบไม่ได้
พี่ว่า...
คนเราจะเจอรักดีๆ สักกี่ครั้งกัน
คนสองคนอยู่ด้วยกันได้
อาจจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรักใช่ไหมพี่?
มันคงขึ้นอยู่กับความคิดที่ไปด้วยกันได้
คนสองคนอยู่ด้วยกันได้นาน
ความคิดความเห็นต้องตรงกัน
ความรักเป็นเรื่องรองลงมา...
ใช่ไหมพี่?
------------------------------
ข้อความนี้นอนสงบนิ่งอยู่ในกล่องข้อความ
เจ้าของข้อความนี้ก็คงนั่งสงบนิ่งอยู่ที่ไหนสักแห่ง
คนสองคนอยู่ด้วยกันได้ไม่ใช่เพราะความรัก...
อย่างนั้นหรือ?
เป็นคำถามที่หนอตอบไม่ได้
แต่หนอก็ได้ตอบไปแล้ว
ไม่ยาวเท่าไร
ไม่มีประโยชน์เท่าไร
แต่หวังว่าจะทำให้ข้อสงสัยนั้นทุเลาลง
------------------------------
คนสองคนอยู่ด้วยกันโดยมีความรักเป็น
“แกน”
โดยมีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ
ประกอบ
ขึ้นอยู่กับลักษณะของความสัมพันธ์
ซึ่งจะเป็นเฉพาะคู่นั้นๆ
ถ้าเปลี่ยนคนที่คบ
ลักษณะที่ว่านี้ก็จะเปลี่ยน
ปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ
ที่จะมาประกอบกับ
“แกน”
ก็จะเปลี่ยนตาม
ไม่มีคนคนไหนซ้ำกัน
ไม่มีความสัมพันธ์ไหนซ้ำกัน
เราสรุปสิ่งตรงหน้าจากสิ่งที่เราเคยรู้ไม่ได้หรอก
------------------------------
หนอไม่รู้ว่าที่ตอบไปมัน
Make Sense ไหม
ความรักไม่ใช่สิ่งที่หนอพยายามจะหยั่งรู้
ความสัมพันธ์ไม่ใช่สิ่งที่หนอพยายามจะหยั่งรู้
คน...
ยิ่งไม่ใช่สิ่งที่หนอพยายามจะหยั่งรู้
เพราะฉะนั้น
การจะบอกว่าอะไรใช่ไม่ใช่
ก็คงต้องเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นๆ
เป็นผู้บอกเอง
ว่าแต่...
ทำไมหนอถึงตอบไปอย่างนั้นนะ?
คนเราต้องการหยั่งรู้หลายอย่าง
หยั่งรู้ตัวเอง
หยั่งรู้ผู้อื่น หยั่งรู้อนาคต
ในสังคมอุดมดูดวงอย่างสังคมเรา
มีศาสตร์เพื่อการหยั่งรู้อยู่มากมาย
ทั้งหมดนี้
(ไม่ว่าศาสตร์ใดจะจริงไม่จริง)
ทำให้หนอเข้าใจบางอย่าง
นั่นคือ
ไม่มีคนคนไหนซ้ำกัน
คนเราดูดวงจากวันเวลาตกฝาก
ดูตั้งแต่วัน
วันที่ เดือน ปี พ.ศ.
ลัคนาราศีปีนักษัตร
นอกจากนี้
ยังมีคำทำนายลักษณะ
จากกรุ๊ปเลือด
และอะไรต่างๆ มากมาย
กระนั้นแล้ว
หนอก็ยังเชื่อว่าไม่มีใครซ้ำกัน
และไม่มีใครแทนใครได้
จริงอยู่
หนอเชื่อว่าวันเวลาตกฝาก
ที่ดูตั้งแต่วัน
วันที่ เดือน ปี พ.ศ.
ลัคนาราศีปีนักษัตร
และแม้แต่กรุ๊ปเลือด
สามารถกำหนดบางอย่าง
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่เกิด
วันเดือนปีเวลาและกรุ๊ปเลือดเดียวกับหนอ
จะมีทั้งโชคชะตาและลักษณะที่เหมือนกับหนอ
คนเราเกิดในครอบครัวที่แตกต่างกัน
การเลี้ยงดูที่แตกต่างกัน
เข้าเรียนในระดับชั้นต่างๆ
มีสังคมสถานศึกษาที่แตกต่างกัน
เกิดการกล่อมเกลาความคิดจิตใจ
เกิดเป็นลักษณะนิสัยที่แตกต่างกัน
นั่นคือสิ่งที่ประกอบขึ้นเป็นคนคนหนึ่ง
และเมื่อคนคนหนึ่งนั้น
ได้มาอยู่ร่วมกับคนอีกคนหนึ่ง
ที่ดวงชะตาราศีแตกต่าง
ลักษณะนิสัยแตกต่าง
การที่จะอยู่ด้วยกันได้นาน
มีความรักอย่างเดียว...
พอหรือ?
มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ความคิด...
อย่างนั้นหรือ?
ก็อาจจะใช่
ความคิดที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ก็คงจะทำให้ทุกอย่างราบรื่นดีงาม
แล้วอะไรอีก?
ความจริงแล้ว...
หนอไม่สามารถจำกัดความอะไรได้เลย
คำถามที่ตอบไม่ได้
ก็ยังคงหาคำตอบไม่ได้อยู่อย่างนั้น
หนอเข้าใจเพียงแต่ว่าในโลกนี้
ไม่มีใครเหมือนกัน
ไม่มีอะไรที่เราคาดเดาได้ทั้งหมด
ไม่มีคนไหนที่เราเข้าใจเขาได้ทั้งหมด
ไม่มีความสัมพันธ์ไหนที่เรานิยามได้ทั้งหมด
แต่นั่นก็คือเสน่ห์ของชีวิตมิใช่หรือ
การที่เราไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
โชคชะตาจะพาเราไปเจอกับใคร
อยู่กับเขาได้นานไหม
ตลอดไปหรือเปล่า
กับเขาคนนั้น
นอกจากความรักแล้วยังต้องมีอะไรอีก
และคำถามเหล่านี้ก็คือเสน่ห์ของชีวิตมิใช่หรือ
การที่เราต้องตื่นมาตอบในแต่ละวัน
เราสองคนมีความรักให้กันหรือเปล่า
ถ้ามี...
มีมากน้อยขนาดไหน
มีความคิดไปในทิศทางเดียวกันไหม
จะเป็นแบบนี้ไปอีกนานหรือไม่
กว่าก็หาคำตอบได้คงใช้เวลานาน
สุดท้ายก็ไม่พ้น
“เวลา”
ปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยเราตอบคำถามคือเวลา
เวลาจะทำให้เห็นตัวตนของคน
ตัวตนของความสัมพันธ์
ตัวตนของความรัก
ตัวตนของคำถาม
แม้ว่าบางครั้งจะเป็น...
“คำถามที่ตอบไม่ได้” ก็ตาม
Subscribe to:
Posts (Atom)