It was my last weekend in London. Cold, cloudy Saturday - or maybe not that cold, but what do I know, I'm from the Equator zone. I strolled around Covent Garden to find some theater tickets. My friend was visiting London at the time and wanted me to take her to see a play.
I was just a traveler after all. She, on the other hand, had been in the UK longer than I was, learning English in Guildford, Surrey. I was happy to escort her, though. I'm not complaining. The thing is I wasn't sure what kind of play she would enjoy.
Knowing that she was hungover from the previous night, I couldn't call her to discuss. It was way to early. Well, it was 11 am, but still. You know what I mean. Your sense of time goes numb when you're hungover.
I decided to stop by the Donmar Warehouse on Earlham Street and see what play was on. I always felt like I had to be there, strangely. I knew I would want to be there. Have you ever looked up a building or a sign and felt like it welcomes you, and that it has long been waiting for you to visit?
I know it sounds crazy, but that's exactly how I felt when I was standing there, in front of Donmar, that I was imaginarily well-greeted by the front door, the street, the atmosphere - by everything.
It was a Saturday, the day of matinee shows, but it was quiet. Actually, the streets were all quiet as if no one wanted to leave home before noon. And therein I walked, and two tickets were acquired.
The play was called 'Welcome Home, Captain Fox!' and the two of us enjoyed it very much. It was an afternoon well-spent. It wasn't until much later that day, into the night, that I started to think about the message of the play.
The play was about this 'Captain Jack Fox' who went missing for 15 years after the war. When he was finally discovered and about to be handed over to his family, there was one simple problem. He had no memory what so ever. The family kept calling him 'Jack' but he insisted he was 'Gene'.
How many times do we feel uncomfortable with labels and names given by others? And to submit to those labels feels like tying your soul to other people's body. We are all 'Gene' at one point in life, I suppose.
The story wrapped with Gene deciding to 'die' in order to 'live'. To die from one society in order to start a new life elsewhere.
Don't we all want to be Gene at this point? To escape one world and leap forward to another. To abandon one identity and create something new and better.
It's amazing what one play can do to you. And this all happened because I chose to be at that place at that time. After the tiring process of getting a visa, after the red-eye flights with screaming babies on board, after all the walking and blisters and stuff, I made it to England. I made it to London. I made it to Donmar.
I'm going to take Further Maths next year. I'm going to pass it and get an A. And then in two years I'll take A-level physics and get an A. And then I'm going to go to university in another town. I can take Sandy and my books and my computer. I can live in a flat with a garden and a proper toilet. Then I'll get a First Class Honours Degree. Then I'll be a scientist. I can do these things.
หนอได้ยินชื่อ The Curious Incident of the Dog in the Night-Time มานานแล้ว รู้ว่ามีละครเวที รู้ว่าเป็นละครเวทีที่ได้รับรางวัลมากมายและได้ฟีดแบ็กที่ดีเยี่ยมจากผู้ชม หนออ่านบทความเกี่ยวกับละครเวทีเรื่องนี้แบบผ่าน ๆ อยู่หลายครั้ง ไม่เคยใส่ใจว่ามันเกี่ยวกับอะไรแน่ จนกระทั่งเพื่อนสนิทแนะนำว่าเที่ยวลอนดอนคราวนี้ให้แวะดูละครเวทีเรื่องนี้ด้วย ไม่สิ ไม่ใช่การแนะนำ มันบอกหนอว่า 'แกต้องไปดูให้ได้ เราชอบเวอร์ชันหนังสือมาก'
หนังสือ The Curious Incident of the Dog in the Night-Time ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2003 เล่าเรื่องผ่านตัวละครชื่อ คริสโตเฟอร์ เด็กหนุ่มวัย 15 ที่มีอาการ 'ออทิสซึม สเปกตรัม' (ความผิดปกติของการพัฒนาระบบประสาท) พูดแบบให้เห็นภาพชัดหน่อยก็คือ คริสโตเฟอร์เป็นออทิสติกอ่อน ๆ นั่นเอง
The Curious Incident of the Dog in the Night-Time เปิดเรื่องมาที่ฉาก (ลองเดาซิ...) หมาตาย! เหมือนบนปกหนังสือหรือภาพโปรโมตที่เห็นกันนั่นแหละ หมาโดนสามง่ามทำสวนแทงตาย จากนั้นเจ้าของหมาก็โวยวาย กรีดร้องที่หมาตัวเองโดนฆ่า และกรีดร้องใส่เด็กบ้าที่เธอคิดว่าเป็นคนทำ
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของ The Curious Incident of the Dog in the Night-Time ก็คือ การใช้ร่างกายและการใช้พื้นที่บนเวทีของนักแสดงทุกคน ทั้งหมดถูกคำนวณและออกแบบมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เป็นละครเวทีประเภทที่หนออยากลงนั่งพับเพียบหมอบกราบไปตลอดการแสดงเลยทีเดียว มันสุดยอดมากจริง ๆ
บนเวทีแคบ ๆ ก็ขึ้นลงบันไดเลื่อนได้นะคุณ
It relates to lot of us all of the time, I think,
we all spend many hours of our life feeling perplexed
The Curious Incident of the Dog in the Night-Time มีกำหนดเล่นที่โรงละคร Gielgud Theatre ใกล้สถานี Piccadilly Circus ไปจนถึงต้นเดือนมกราคมปี 2017 เรตอายุผู้ชมอยู่ที่ 11+ ราคาตั๋วเริ่มต้นที่ 18 ปอนด์
เนลล์ กวินน์ มีตัวตนอยู่จริงในหน้าประวัติศาสตร์ โดยเป็นทั้งนักแสดงหญิงคนแรก ๆ ของประเทศ และเป็นชู้รักผู้เลื่องลือของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ ซึ่งทั้งหมดนั่นก็ไม่ได้น่าสนใจเท่ากับที่นักแสดงผู้จะมารับบทเป็นเธอในโปรดักชันล่าสุดนี้คือ "เจ็มมา อาร์เทอร์ตัน" (Gemma Arterton) จากเรื่อง James Bond: Quantum of Solace, Clash of the Titans, Prince of Persia: the Sands of Time และ Hansel and Gretel: Witch Hunters
ก่อนหน้าที่ Nell Gywnn จะถูกนำมาเล่นที่ Apollo Theatre ในย่าน West End นี้ ก็เพิ่งเป็นละครเวทีภายใต้โปรดักชันและผู้กำกับเดียวกันที่ Shakespeare's Globe เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งครั้งนั้นนำแสดงโดยนักแสดงผิวสีอย่าง "กูกู เอ็มบาธา-รอว์" (Gugu Mbatha-Raw) จากเรื่อง Concussion
ต่อให้ไม่รู้เนื้อเรื่องหรืออ่านรีวิวใด ๆ การที่ละครสักเรื่องจะได้ "ย้าย" (Transfer) จากโรงละครนอก West End มายัง West End นั้น ถือเป็นการการันตีความสำเร็จได้ระดับหนึ่งแล้ว ยิ่งมีนางเอกระดับเจ็มมา -- ที่จบจากสถาบันการแสดงชื่อดังอย่าง RADA และเฉิดฉายอยู่ในแวดวงละครเวทีอังกฤษก่อนจะข้ามฟากไปดังฝั่งฮอลลีวูด -- แล้วด้วย หนอนี่กดซื้อตั๋วแบบไม่คิดหน้าคิดหลังเลย
ล่าสุด ผู้กำกับของเรื่องก็เพิ่งรับรางวัลโอลิวิเยร์ (The Olivier Awards) อันทรงคุณค่า ในสาขา Best New Comedy ซึ่งก็มีการจัดงาน/มอบรางวัลกันอย่างยิ่งใหญ่ที่ The Royal Opera House เมื่อคืนนี้ (3 เมษายน)
ท่ามกลางลิสต์ละครเวทีมากมายที่เล่นอยู่ในย่าน West End จะมีอยู่บางเรื่องที่ใช้นักแสดงชื่อดังเป็นจุดขาย แน่นอนว่าบทละครต้องดีพอจะดึงดูดผู้ชมอยู่แล้ว แต่การได้นักแสดงที่ผู้คนรู้จักจะยิ่งทำให้โปรดักชันนั้น ๆ โดดเด่นเป็นที่สนใจยิ่งขึ้น
สำหรับหนอ The Maids เป็นละครเวทีเรื่องนั้น และด้วยการกำกับของอัจฉริยบุคคลแห่งวงการละครเวทีอังกฤษอย่าง เจมี ลอยด์ (Jamie Lloyd) แล้ว มีแต่จะทำให้การแสดงของ อูโซ อาดูบา (Uzo Aduba) จาก Orange Is the New Black ทรงพลังขึ้นกว่าเดิม
ก่อนหน้านี้ เคยมีนักแสดงชื่อดังรับบทสาวใช้ใน The Maids มาแล้ว นั่นก็คือ "เจ้าป้า" เคต บลานเชตต์ (Cate Blanchett) ในโปรดักชันของออสเตรเลีย ที่คราวนั้นใช้นักแสดงผิวขาวล้วน แต่มาคราวนี้โปรดักชันของ The Jamie Lloyd Company เลือกที่จะใช้นักแสดงผิวสี 2 คน เป็นสาวใช้ ขณะที่บทเจ้านายตกเป็นของนักแสดงผิวขาวจาก Downton Abbey - ลอรา คาร์ไมเคิล (Laura Carmichael)
บ่ายวันเสาร์แรกของทริปนี้จึงเป็นเวลาของเรื่องต่อไปนี้... ละครเวทีเรื่องที่สองที่หนอได้ดูที่ West End... จากหนังเรื่องแรกที่เด็กคนหนึ่งเคยชอบจนไม่รู้จะชอบยังไงได้อีก...
ซื้อเทปเพลงประกอบมาฟังจนเทปยานแล้วยานอีก... ฉาก Can you feel the love tonight ก็จิ้นพระนางจนเขินแล้วเขินอีก... (ไม่ใช่รุ่นเราไม่เข้าใจหรอก... จริง ๆ นะ...)