เมื่อวานเป็นวันเอดส์โลกค่ะ และหนึ่งในข่าวที่ทั่วโลกรายงานถึงก็คือการพบกันของศิลปินดัง "ริอานนา" กับ "เจ้าชายแฮร์รี" ในบาร์เบโดส เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี การเป็นเอกราชของประเทศ และทั้งคู่ก็ได้รณรงค์ตรวจหาเชื้อเอชไอวีด้วยการโชว์ตรวจเลือดให้สื่อมวลชนดูเสียเลย ซึ่งเจ้าชายเคยทำมาแล้วครั้งหนึ่งในอังกฤษ และจุดกระแสให้ผู้คนจำนวนมากไปตรวจเลือดบ้าง
ประเด็นที่หนอจะมาเขียนถึงวันนี้ก็คือการตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวีนี่แหละ หนอว่าจะมาเขียนนานแล้ว แต่ก็ติดโน่นติดนี่ จนฮึดอยากกลับมาเขียนก็วันนี้นี่แหละ
หลายปีมาแล้วหนอเคยสัมภาษณ์งานกับธนาคารหนึ่งและได้เรียกตัวเข้าทำงาน ซึ่งมีข้อแม้ว่าทุกคนต้องยื่นผลตรวจสุขภาพและผลตรวจเอดส์ ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่หนอรู้ว่าไอ้ตรวจ 2 อย่างนี้มันแยกกัน ***คือแปลว่าตรวจธรรมดาจะเจอปริมาณไขมันกู แต่ไม่รู้ว่ากูเป็นเอดส์ งี้เหรอวะ?*** ก็ไม่อะไร ตรงไปโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังมากแห่งหนึ่ง เพราะเป็นคนไข้ประจำที่นั่นอยู่แล้ว
ด้วยความเงอะงะ เพราะไม่เคยตรวจแผนกอื่นนอกจากแผนกผิวหนัง สุดท้ายก็เจอเคาน์เตอร์ที่ควรติดต่อจนได้ พอบอกพยาบาลว่า "มาตรวจเอดส์ค่ะ จะเอาไปยื่นที่ทำงาน..." เท่านั้นแหละ ก็โดนเบรกทันที "ไม่ต้องบอก ๆ ว่าจะเอาไปทำอะไร" คุณพยาบาลที่ดูมีอายุหน่อยยกมือห้าม ก่อนจะเดินไปจัดการให้ตามขั้นตอน
นั่นดูเป็นท่าทีที่ประหลาดสำหรับหนอนะ คือไอ้เรื่องความลับระหว่างบุคลากรสาธารณสุขกับผู้ป่วยเนี่ย มันคือรู้แต่ไม่ไปบอกคนอื่นไม่ใช่เหรอวะ? ไม่ใช่ว่าปฏิเสธที่จะรับรู้ ผู้ป่วยอยากพูดอะไรต้องพูดได้ดิ แล้วการตรวจหาเชื้อที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้ จำเป็นหรือเปล่าที่บุคลากรยิ่งต้องทำตัว "ปกติ" และแน่นอนว่าต้อง "มีมารยาท" (ซึ่งนับวันดูจะเป็นสิ่งที่หาได้ยากในหลายวิชาชีพ ทั้งที่บางกรณีควรเป็น "สามัญสำนึก" ด้วยซ้ำ) ไม่แสดงอาการใด ๆ ที่อาจจะผลักไสหรือตราหน้าผู้รับบริการ
แล้วการตรวจก็ผ่านไป หนอไม่ได้มีไลฟ์สไตล์เข้าข่ายเสี่ยงอะไรอยู่แล้ว ก็เลยแค่รอชิล ๆ จนคุณพยาบาลคนเดิมเรียกไปรับผลนั่นแหละ (ขอพยาบาลคนอื่นได้ไหมวะ? -*-) เธอจัดแจงยื่นผลให้ และยื่นอีกมือมาจับมือหนอ "โถ ไม่เป็นไรแล้วนะ" ..........
อ#^&$%#ห*&*%$#@ [จงเติมคำสบถในหัวเอาเอง]
คือคุณพยาบาลนี่เป็นบ้าอะไร ทำไมต้องทำเหมือนคนที่มาตรวจเป็นผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวีเอดส์ด้วย ถ้านี่คือมาตรฐานการดูแลคนไข้ปกติของโรงพยาบาลหรือของพยาบาลท่านนี้ ขอแนะนำให้เปลี่ยนด่วนเลยนะคะ
หนอว่า สิ่งที่ดีที่สุดคือการทำเหมือนทุกคน "ไม่เป็นเอดส์" จะดีกว่า คนเรามีเหตุผลมากมายให้ตรวจเลือดหาเอดส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสังคมที่หลายองค์กรยังยืนยันที่จะให้ลูกจ้างเปิดเผยผลการตรวจเลือด (ซึ่งจริง ๆ ก็ขัดกับสิทธิเสรีภาพนะ แต่จุดนี้เราจะไม่พูดถึง) มันน่าตกใจมากที่โรงพยาบาลเอกชนอันดับต้น ๆ ของประเทศ (และแพงเป็นอันดับต้น ๆ ด้วย) มีบุคลากรที่เลือกใช้คำพูดที่ offend ผู้รับบริการแบบนี้
หนอว่านี่มาจากอคติและสเตอริโอไทป์ในใจของคุณพยาบาลเอง ว่าคนที่มาตรวจคือต้องไปทำอะไรสุ่มเสี่ยงมา ซึ่งนี่ถือเป็น "การตราหน้า" รูปแบบหนึ่ง (ไม่ต่างกับพนักงานร้านแบรนด์เนมทำเหมือนลูกค้าที่เดินเข้าร้านไม่มีเงินซื้อ) และนี่คือหนึ่งในเหตุผลให้คนไม่อยากไปตรวจเอดส์ ถ้ามองกันดี ๆ แล้ว จะสรุปว่า "บุคลากร" ในระบบสาธารณสุขเป็นปัจจัยที่ทำให้ระบบสาธารณสุขและการบริการสุขภาพล้มเหลวนี่คงไม่ผิดนักนะคะ เพราะนอกจากคุณพยาบาลท่านนี้แล้ว หนอยังเคยเจอกรณีอื่น ๆ อีกมาก บอกเลยว่าสายวิชาชีพที่ดีไม่ได้ช่วยให้มีสามัญสำนึก มารยาท หรือหัวใจบริการเพิ่มขึ้นเลย
ถ้าหนอเป็นคุณพยาบาล หนอจะยื่นเอกสาร อ่านผล ยิ้มให้ แล้วเชิญให้ไปจ่ายเงิน แค่นั้น...
สุดท้ายนี้ หนออยากบอกว่าหนอสนับสนุนให้คนไปตรวจเลือดโดยสมัครใจ สนับสนุนโครงการลบล้างอคติต่อผู้ป่วยเอดส์/โครงการช่วยเหลือเด็กในพื้นที่เสี่ยงเอชไอวีในแอฟริกาของเจ้าชายแฮร์รี และสนับสนุนให้คนในทุก ๆ วิชาชีพ "ใส่ใจ" กับการแสดงออกของตนเองค่ะ