หนอคิดอยู่นานพอสมควรว่าจะเขียนบล๊อกนี้ดีหรือเปล่า และถ้าเขียนจะออกมาในรูปแบบไหน เพราะมันไม่มีแนวทางดี ๆ ที่จะบอกเล่าเรื่องนี้ได้เลย ทั้งที่มันก็ไม่ได้น่าอับอายหรือเป็นความลับขนาดนั้น เป็นแค่ความเข้าใจที่ไม่ตรงกันมากกว่า
เรื่องนี้เกิดขึ้นในวันแรก ๆ ที่หนอไปถึงลอนดอน ด้วยความที่อากาศเย็นและลมค่อนข้างแรง การรอคอยให้ละครเวทีเริ่มต้นจึงเป็นสิ่งที่ทรมานพอดู โรงละครก็คับแคบ ไม่มีพื้นที่ให้แกร่วรอ แถมย่านนั้นยังไม่มีอะไรให้เดินเตร่อีกต่างหาก จะข้ามฝั่งไปย่านท่องเที่ยวก็ลำบากเพราะรองเท้ากัด คือไดเลมมาเยอะน่ะ เอาตรง ๆ
คิดกลับไปกลับมาอยู่นาน สุดท้ายก็เดินเข้าแมคโดนัลด์ รองท้องสักหน่อย ความพังอย่างแรกคือเดินเข้าไปแล้วพบว่าคนเยอะมาก คิวก็ยาว โต๊ะก็เต็ม แต่เอาวะ ต้องกินอะไรหน่อยแหละ สักพักคิวเริ่มไหลเร็วและหนอก็ได้โอกาสสั่ง แล้วความพังอย่างถัดมาก็เริ่มต้นขึ้น
"มีอะไรที่ไม่ใช่กาแฟและไม่ใช่น้ำอัดลมไหมคะ?" หนอถามไปด้วยสำเนียงอเมริกันแบบไม่ Native ซึ่งเท่าที่ผ่านก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร ดูทุกคนจะฟังรู้เรื่อง แต่... เธอคนนี้ เธอที่อยู่ตรงหน้าหนอนี้กลับชะงักและทำหน้าเหมือนสงสัยอะไระสักอย่าง
"มีเมนูเครื่องดื่มที่ไม่ใช่กาแฟและไม่ใช่น้ำอัดลมไหมคะ?" หนอถามย้ำ เธอคนที่ว่ายังคงทำหน้างง ๆ แล้วตอบมาว่า "ฉันไม่เข้าใจที่คุณพูดเลย"
ด้วยความที่ไม่อยากให้คนข้างหลังต้องรอคิวนาน สัญชาตญาณการเอาตัวรอดสมัยอยู่เกาหลีกลับเข้าร่างทันที แทนที่หนอจะสั่งซ้ำเฉย ๆ หนอยกแขนขึ้นมาไขว้ X พร้อมพูดไปด้วย เพื่อให้คนฟังรู้ว่า "กาแฟ" เนี่ยไม่เอา "น้ำอัดลม" ก็ไม่เอา
ภาพรวมดูเหมือนคนบ้ามาก แต่เอาเถอะ สั่ง ๆ ไป ไม่ได้จะ "คีป-ลุค" หรือคิดว่าต้องดูดีอยู่แล้ว
"อ่าาา เยส" นางทำหน้าเหมือนเข้าใจ "วี แฮฟ คาปุชชีโน่... ลาทเท่..." (อันนี้คือพยายามสะกดตามเสียง ห้ามด่า) โอ๊ย ไม่ซี่ยยย์ (อันนี้คือคิดในใจ) "โน่ว โน่ว โน่ววว" หนอตอบกลับไปแบบเซ็ง ๆ
ระหว่างนั้นหูซ้ายก็ได้ยินชะนียุโรปตะวันออกสั่งอาหารด้วยสำเนียงที่ฟังยากยิ่งกว่า แต่กลับไม่มีปัญหาใด ๆ โลกแม่งไม่ยุติธรรมว่ะ จุดนั้นไม่รู้ต้องทำสำเนียงยุโรปตะวันออกด้วยไหมถึงจะได้กิน
สุดท้ายคุณที่เคาน์เตอร์ก็ลากอีเพื่อนข้าง ๆ (ที่เพิ่งรับออเดอร์ต่างด้าวที่ว่านั้นแหละ) มาฟังหนอพูด ซึ่งหนอก็พูดประโยคเดิม แล้วนางก็เข้าใจทันที "เรามีมิลก์เชกและสมูธตีค่ะ" ก็แค่นั้นแหละ โธ่เอ๊ย "เอามิลก์เชกค่ะ สตรอว์เบอร์รีมีใช่ไหม?"
"มีค่ะ ได้ค่ะ มิลก์เชกสตรอว์เบอร์รี 1 ที่นะคะ" คุณพนักงานหมายเลข 2 กดออเดอร์อย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะหันไปคุยกับในครัวแล้วหันมาบอกหนอว่า "คุณคะ นมหมดค่ะ เปลี่ยนเป็นสมูธตีได้ไหม?"
เออ เอามาเถอะวะ "ได้ค่ะ" หนอตอบไปแบบรำคาญ ๆ จากนั้นก็กระเถิบไปยืนด้านข้าง ให้คนข้างหลังสั่ง
พอคุณพนักงานทั้งสองหันไปจัดแจงอาหารด้านหลัง พนักงานหมายเลข 3 ก็เข้ามารับหน้าที่แทน คราวนี้เป็นผู้ชาย คนที่สั่งอาหารต่อจากหนอได้สั่งกับคนนี้ เธอมากับสามีและลูกเล็ก 1 คน เธอสั่งมิลก์เชก
เดาสิ... เดาว่ามีอะไรเกิดขึ้นต่อ...
เธอได้กินมิลก์เชกว่ะเฮ้ย
นี่พิมพ์มาถึงตรงนี้ไม่อยากเรียบเรียงอะไรมากมายแล้วนะ คือเป็นโมเมนต์ที่ว็อตเดอะฟัคมาก ยืนรอไปก็เบะปากไป ขี้เกียจจะทำอะไรกับเหตุการณ์นี้แล้ว ยอมแพ้จริงจัง
หนอรับอาหารมาแล้วรีบลงไปหาที่นั่งด้านล่าง โชคดีมากที่มีคนลุกไปพอดี ถึงได้มีที่ว่าง และเพราะเป็นโต๊ะใหญ่สำหรับ 4 คน คุณผู้หญิงที่สั่งมิลก์เชกแล้วได้กินจึงต้องมานั่งโต๊ะเดียวกันกับหนอ ลูกสาวเธอน่ารักมาก หนอรีบกินรีบไป เขาสามคนจะได้ใช้พื้นที่แบบสบาย ๆ
ขณะที่หนอกำลังลุกออกไป น้องคนนั้นวางของที่กินอยู่แล้วหันมาบ๊ายบายหนออย่างน่าเอ็นดู "บายยย" หนอตอบไปด้วยสำเนียงอเมริกันแบบไม่ Native ที่คุณผู้หญิงที่รับออเดอร์ฟังไม่รู้เรื่อง (แต่ดูเหมือนคนอื่น ๆ จะฟังรู้เรื่องหมด) พร้อมกับยิ้มกว้าง อย่างน้อยวันนี้ก็มีเรื่องให้ยิ้มล่ะว้า (เสียงในหัวหนอมองโลกในแง่ดีกว่าตัวตนที่แท้จริงของหนอมาก ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เถียงกันเองอยู่บ่อยครั้ง)
หนอเดินกลับโรงละครแบบไร้ความมั่นใจ ทั้งหมดนั่นมันคืออะไรกันแน่วะ ดวงไม่ดี เจอเจ้ากรรมนายเวร ก้าวเท้าออกจากห้องผิดข้าง หรือฮวงจุ้ยไม่ถูกโฉลก คือมันต้องลี้ลับประมาณนี้แหละ เพราะหนอหาเหตุผลที่ฟังขึ้นให้ตัวเองไม่ได้เลย
ในโรงละครทุกที่จะมีบาร์ ขายพวกขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่ม บาร์เหล่านี้จะเปิดก่อนละครเล่นราว 1 ชั่วโมง หนอเดินเข้าไปซื้อน้ำขวดหนึ่ง พอหันหลังกลับออกมาแล้วก็ตัดสินใจหันกลับไปถามพนักงานอีกรอบ "คุณ ๆ ... คุณเข้าใจที่ฉันพูดไหม?" ใช่ คำถามโง่มาก แต่ขอสักหน่อยเหอะ
"เข้าใจสิฮะ มีอะไรเหรอ?" คุณผู้ชายสำเนียงอเมริกันตอบ ส่วนคุณผู้หญิงชาวอังกฤษอีกคนยืนพยักหน้าอยู่ข้าง ๆ แบบงง ๆ
"แมคโดนัลด์ฝั่งตรงข้ามไม่เข้าใจที่ฉันพูดแหละ แย่จัง"
"โอ่ย แมคโดนัลด์ก็อย่างนี้ตลอดแหละฮะ เกิดกับลูกค้าทุกคน อย่าไปใส่ใจเลย อย่าให้เรื่องแย่ ๆ แบบนี้มาทำให้หงุดหงิด"
"อ้าว อย่างนั้นเหรอคะ ขอบคุณค่ะ" เป็นอย่างนี้ตลอดเลยเหรอ นี่คือปกติเหรอ แย่ว่ะ
หนอเดินออกจากบาร์มาแบบสับสนหน่อย ๆ ในเมืองที่มีความหลากหลายอย่างลอนดอนนี่... การทรีตลูกค้าแบบนี้มันกลายเป็นเรื่องปกติได้ด้วยเหรอ? นี่แมคโดนัลด์นะแก... ฉันไม่ได้พูดไม่รู้เรื่องด้วยนะแก...
คืนนั้นหนอดูละครเสร็จแล้วกลับห้องพักเลย หมดวันแล้วก็ควรนอน ๆ ให้มันจบ ๆ ไป รุ่งขึ้นอารมณ์ดีขึ้นแล้วก็คงหายกัน หรือไม่ ถึงตอนนั้นก็คงมีสติมากขึ้น
เป็นอย่างนั้นจริง ๆ แหละ หนอตื่นขึ้นอาบน้ำแต่งตัวแล้วออกไปตะลุยพิพิธภัณฑ์ได้อย่างเบาใจ จนกลับมาที่ห้องพักในตอนค่ำถึงได้ลองนั่งคิดทบทวนอย่างเป็นจริงเป็นจังว่าควรจะทำอะไรสักอย่างไหม
ว่าแล้วหนอก็เข้าเว็บไซต์แมคโดนัลด์ยูเค กดร้องเรียน ย่อเรื่องราวทั้งหมดให้อยู่ภายในจำนวนอักษรที่เขากำหนดและกด "ส่ง" ด้วยความรู้สึกว่าไม่อยากให้ใครโดนแบบนี้อีก ถึงตอนนี้แมคโดนัลด์จะอ่านหรือไม่อ่าน จะสนใจหรือไม่สนใจ หนอไม่รับรู้แล้วล่ะ หนอทำส่วนที่คิดว่าควรทำไปหมดแล้ว
วันถัดมาหนอได้อีเมลยาวเหยียดจากผู้รับผิดชอบ นางขอโทษขอโพยเสียจนคนอ่านแทบรู้สึกผิดที่ดันไปร้องเรียน เธอคนที่ตอบนี่ย้ำหนักแน่นมากว่าต้องการส่งเวาเชอร์มาให้หนอที่โรงแรม ขอให้ระบุที่อยู่มาในอีเมลตอบกลับด้วย
หนอกดตอบกลับอีเมลฉบับนั้นอย่างรวดเร็ว แต่เนื้อความไม่ได้มีการระบุที่อยู่ใด ๆ ให้ หนอตอบไปแค่ว่าขอบคุณที่ใส่ใจกับคำร้องเรียน และหนอขอแค่ให้ลูกค้าคนอื่นไม่ต้องมาไม่รู้สึก "พร่อง" เหมือนหนอก็พอ
(เอาจริง ๆ ในคำร้องเรียนเขียนไปค่อนข้างหนักแหละ ระบุว่าปัญหาเป็นที่ตัวพนักงานคนแรกที่รับออเดอร์ นั่นคงเป็นเหตุผลหลักที่แมคโดนัลด์เห็นเป็นเรื่องร้ายแรง จนต้องร่ายยาวกันขนาดนี้)
ก็นั่นล่ะค่ะ เรื่องราวของคุณผู้หญิงในแมคโดนัลด์ ทั้งหมดนี้คือหนอต้องการจะบอกว่า อะไรที่รู้สึกว่าถูกล้ำเส้นก็แสดงออกมาเถอะนะคะ ในอุตสาหกรรมการบริการ ฟีดแบ็กลูกค้าถือว่าสำคัญมาก มีอะไรที่คาใจก็บอกให้ทางบริษัทที่รับผิดชอบรู้ หนอเชื่อว่ามันช่วยหลายคนได้ในระยะยาว อย่างในกรณีนี้ก็มาตรฐานการบริการของทางร้าน และอาจจะเซฟความรู้สึกลูกค้าคนอื่นในอนาคตได้ด้วย
นี่หนอคิดเอาเองนะ หนออาจจะคิดผิดก็ได้...
เราเป็นอีกคนคิดเหมือนหนอนะ ที่น่าประทับใจคือผู้ให้บริการเห็นว่าคำร้องเรียนจากลูกค้าเป็นเรื่องใหญ่
ReplyDeleteจริง ๆ หนอกะจะปล่อยแล้ว แต่มันรู้สึกค้างคาใจยังไงไม่รู้ว่ะ
Delete