'ชื่อ "พริ้ม" แกไม่รู้จักหรอก'
คือคำตอบที่ได้
เมื่อถามเพื่อนว่าได้น้องรหัสเป็นใคร
ซึ่งนั่นก็คือ 10 ปีมาแล้ว
หนอจำประโยคที่ว่านี้ไม่ได้เลย
จนกระทั่งได้มาทำงานกับ 'พริ้ม'
ที่สถานีข่าวช่องหนึ่ง
แล้วก็ถามเธอว่าพี่รหัสเป็นใคร
ดูเหมือนคำถามแบบนี้จะจำเป็น
เวลาที่รู้ว่าเรียนจบมาจากที่เดียวกัน
แต่จำกันไม่ได้
หรือตอนพยายามจะโยงเขาเข้ากับคนที่รู้จัก
หนอไม่ได้เจอ 'ทิม' มานานมากแล้ว
ครั้งสุดท้ายเจอกันกลางห้าง
ต่างคนต่างมีคนมาด้วย
ไม่สะดวกหยุดคุยนาน
จำได้ว่าบอกไปว่า
'จะแชตหานะ'
พูดไปงั้นแหละ
แต่ก็ไม่ได้ทำ
หรือมันอาจจะผิดที่หนอเอง
ที่ตอนเรียนจบไม่ยอมเข้ารับปริญญา
ส่งรายงานตัวสุดท้ายเสร็จ
แล้วก็บินไปเรียนภาษาที่เกาหลีเลย
หนอเป็นคนขวางโลกมาแต่ไหนแต่ไร
พิธีรีตองนี่อย่าได้มาถาม
เพราะจะตอบไม่ได้
เป็นคนไม่ใส่ใจพิธีการเท่าไร
นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ไม่ค่อยมีรูปเก็บ
ไม่มีรูปตัวเอง ไม่มีรูปเพื่อน
ไม่มีรูปตัวเองคู่กับเพื่อน
ในโมเมนต์สำคัญๆ
หลายปีก่อนนัดทานข้าว
กับเพื่อนคณะเดียวกัน
เอกเดียวกันนี่แหละ
อยู่ดีๆ เพื่อนก็พูดขึ้น
'เออ "ทิม" ตกบันไดนะ'
เหตุการณ์ธรรมดาๆ
ที่เกิดขึ้นกับใครก็ได้
แต่กลับส่งผลยิ่งใหญ่กับคนคนหนึ่ง
หลังจากนั้นมาก็ได้ยินว่า
'ทิม' ต้องรักษาตัวยาว
เพื่อนฝูงก็ได้แต่ติดต่อห่างๆ
พ่อแม่เขาไม่สะดวกให้เข้าไปเยี่ยมนัก
ถึงตรงนี้หนอได้แต่นึกเสียดาย
ที่ไม่ได้ติดต่อ 'ทิม' เลย
ทั้งที่สมัยเรียนนั่งด้วยกันบ่อยมาก
'ทิม' เป็นคนที่เก่งและดี
อีกเหตุผลของการไม่ได้ติดต่อกัน
อาจจะมาจากลักษณะงานที่ทำ
เท่าที่เห็นจากฟีดเฟซบุ๊ก
'ทิม' เดินทางบ่อย อยู่ต่างประเทศซะเยอะ
สรุปก็คือต่างคนต่างห่างกันไปนั่นแหละ
ชีวิตหลังเรียนจบก็งี้
ไม่เหมือนสมัยเรียน
ที่เพื่อนดูจะเป็นทุกอย่างของชีวิต
จริงๆ ช่วงหลังมานี้
หนอพยายามหาทางติดต่อ
ทางบ้าน 'ทิม' เขานะ
เพราะอยู่ดีๆ ก็นึกถึง
หรือเพราะทำงานหนัก
เหนื่อยกับชีวิต
เลยคิดถึงชีวิตเก่าๆ
กับเพื่อนเก่าๆ ก็ไม่รู้แฮะ
ครั้งล่าสุดที่พูดถึง 'ทิม'
ก็คือพูดกับน้องรหัสมันนั่นแหละ
ทำงานด้วยกัน เจอกันทุกวัน
จะไประบายกับใครได้อีก
จนกระทั่งเช้าวันอังคารหนึ่ง
เมื่อเดือนที่แล้ว
เพื่อนสนิทก็ไลน์มา
'แก "ทิม" เสียแล้วนะ'
.
.
.
.
เชื่อรึเปล่า
คนคนนั้นจะป่วยหนักมาขนาดไหน
ไม่มีใครเตรียมใจไว้พร้อมหรอก
ไม่มีทาง
การตายจากกันน่าใจหายเสมอ
ไม่ว่าเราจะรักหรือเกลียดเขาก็ตาม
ไม่ว่าจะมากมายหรือน้อยนิดก็ตาม
ไม่ว่าจะบอกลาทันหรือไม่ก็ตาม
หนอใช้วันนั้นทั้งวัน
กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล
ใช้ชีวิตอย่างปกติ
และคิดว่าเพื่อนไปดีแล้ว
จากนั้นก็ใช้เวลาอีกสี่วัน
ร่วมกับรุ่นเป็นเจ้าภาพ นั่งฟังสวด
เตรียมของว่างให้แขกที่มา
และไปร่วมงานเผาในวันอาทิตย์
หนอไม่มีรูปคู่กับ 'ทิม' สักรูป
ไม่มีในเฟซบุ๊ก ไม่มีที่ไหนเลย
ได้แต่มาถ่ายกับรูปหน้าศพแบบกระดากๆ
ไม่รู้ต้องทำหน้ายังไงแน่
พอถึงวันเผา ฝนก็ดันมาตกซะนี่
ตอนงานเริ่มยังไม่หยุดตกดีด้วยซ้ำ
พวกเราที่มางานยังแซวกันว่า
'ทิม' ขี้ร้อน อากาศแบบนี้เหมาะแล้ว
ก็คงเป็นจริงอย่างที่แซวกัน
เพราะพอฝนหยุด อากาศก็เย็นสบายดี
แถมฟ้าก็เปิดเต็มที่ เป็นสีฟ้าสดสบายตา
เป็นบรรยากาศที่ดีสำหรับการบอกลา
หลังงานเลิก
หนอได้แต่นั่งคิดทบทวนว่า
ตัวเราใช้ชีวิตคุ้มหรือยัง
แล้วมีอะไรที่ควรเปลี่ยนแปลงบ้าง
จากที่ปกติเป็นคนไม่ชอบไปไหน
หนอเริ่มคิดวางแผน
ไปเที่ยวเมืองนอกจริงๆ จังๆ อีกครั้ง
ลองไปที่ที่ไม่เคยไป
เหมือนเป็นผลจาก
'ความอยากใช้ชีวิตแทนคนที่ไม่มีโอกาส'
หรือความรู้สึกอะไรประมาณนั้น
... อยากอยู่ให้คุ้ม
พอกลับมาบ้าน
หนอเปิดเฟซบุ๊กดู
พบว่าเพื่อนอีกคน (ที่ไม่ได้เรียนด้วยกัน)
ถูกแท็กรูป มันเลยเด้งขึ้นมาในฟีด
ปรากฏว่า หนอจำคนในรูปนั้นไม่ได้เลย
แต่ก็นั่นแหละนะ คนป่วยก็อย่างนี้
รายนี้ป่วยเป็นมะเร็ง ไม่ได้ตกบันได
เป็นหนักพอดู เลยดูอิดโรยมาก
หนอรู้จัก 'ปัถย์' เพราะเชียร์บอลทีมเดียวกัน
ติดต่อกันครั้งแรกผ่านกลุ่มในทวิตเตอร์
ตอนหลังมารู้อีกว่า 'ปัถย์' เป็นเพื่อนของเพื่อน
เลยมีการนัดเจอนอกวาระฟุตบอลด้วย
หนอกลัวว่า 'ปัถย์' จะรีบไปเหมือน 'ทิม'
เลยส่งข้อความไปทางเฟซบุ๊ก
เล่าให้ฟังถึงแผนที่จะไปเที่ยว
หวังว่าเขาจะตื่นเต้นดีใจด้วย
'เดี๋ยวจะไปถ่ายรูปหน้าสนามมาอวด'
คือข้อความที่ส่งไป
ฟังดู Geek มากนะ
แต่หัวจิตหัวใจแฟนบอลมันมีแค่นี้จริงๆ
หนอหวังว่าประโยคแบบนี้
จะทำให้ 'ปัถย์' ยิ้มได้บ้าง
พอให้ลืมความเจ็บป่วยไปได้บ้าง
พอให้นึกถึงการใช้ชีวิตปกติได้บ้าง
มันเพียงพอมั้ยนะ คำถาม Geek ๆ
กับความเจ็บป่วยระดับมะเร็งระยะท้ายๆ
มันเพียงพอมั้ยนะ
ความหวังดีจากเพื่อนห่างๆ คนหนึ่ง
เช้าวันอังคาร
สัปดาห์ที่ถัดจากข่าวร้ายของ 'ทิม'
ฟีดเฟซบุ๊กหนอเต็มไปด้วยกำหนดการ
วันสวดและวันเผา 'ปัถย์'
.
.
.
.
ข้อความของหนอไม่เคยถูกอ่าน
'ปัถย์' ไปสบายแล้ว
แล้วชุดดำที่เพิ่งซัก
ก็ต้องถูกหยิบมาใส่อีกครั้ง
มันไม่มีคำตอบหรอก
ว่าทำไมคนเก่งๆ ดีๆ ถึงต้องรีบไปนัก
พอๆ กับที่มันอธิบายไม่ได้
ว่าทำไมคนใช้ชีวิตไม่คุ้มอย่างหนอถึงยังอยู่
คนเราใช้ชีวิตไปวันๆ
รอให้แต่ละเดือน แต่ละปีผ่านไป
โดยที่ไม่ค่อยนึกถึงว่า
มันมีบางบุคคลที่ก็ต้องผ่านเลยไปด้วย
สำหรับหนอ
'ทิม' กับ 'ปัถย์' เป็นคนที่ผ่านไปแล้ว... ในปีนี้
ในช่วงเวลาเดียวกับคุณลุง (พี่ชายพ่อ)
และโมโม่ (หมาที่บ้าน) ก็จากไปด้วย
คนหนึ่งคน
จะต้องร้องไห้ให้กับความสูญเสียกี่ครั้งกันนะ
แล้วจะมีปีไหนมั้ยที่เราจะแข็งแรงพอ
และรับมือกับมันได้แบบไม่สึกหรอ
หรืออารมณ์ดีใจเสียใจแบบนี้
เป็นเสน่ห์ของการมีชีวิตอยู่?
หรือการนั่งนึกถึงคนที่ผ่านไปแล้ว
เป็นพลังให้เรามีชีวิตอยู่ได้ดีขึ้นกันแน่?
หมดปีแล้ว
หนอหวังว่าคุณผู้อ่านทุกคน
คงจะมีบทเรียนจากการใช้ชีวิต
ในปีที่กำลังจะผ่านไปไม่มากก็น้อย
ปีหน้ามาเริ่มใหม่กันนะคะ
อะไรที่ดีก็คงไว้
อะไรที่ไม่ดีก็ปรับเปลี่ยนกันไป
ใช้ชีวิตแต่ละวันให้คุ้มค่า
ใช้เวลาไม่กี่วันที่เหลือในปีนี้
บอกลาสิ่งไม่ดีในชีวิต
บอกลาปีที่ผ่านไป
บอกลาคนที่ผ่านไป
.
.
.
.
สวัสดีปีใหม่ค่ะ