December 29, 2015

คนที่ผ่านไป

'ชื่อ "พริ้ม" แกไม่รู้จักหรอก'
คือคำตอบที่ได้
เมื่อถามเพื่อนว่าได้น้องรหัสเป็นใคร
ซึ่งนั่นก็คือ 10 ปีมาแล้ว

หนอจำประโยคที่ว่านี้ไม่ได้เลย
จนกระทั่งได้มาทำงานกับ 'พริ้ม'
ที่สถานีข่าวช่องหนึ่ง
แล้วก็ถามเธอว่าพี่รหัสเป็นใคร

ดูเหมือนคำถามแบบนี้จะจำเป็น
เวลาที่รู้ว่าเรียนจบมาจากที่เดียวกัน
แต่จำกันไม่ได้
หรือตอนพยายามจะโยงเขาเข้ากับคนที่รู้จัก

หนอไม่ได้เจอ 'ทิม' มานานมากแล้ว
ครั้งสุดท้ายเจอกันกลางห้าง
ต่างคนต่างมีคนมาด้วย
ไม่สะดวกหยุดคุยนาน

จำได้ว่าบอกไปว่า
'จะแชตหานะ'
พูดไปงั้นแหละ
แต่ก็ไม่ได้ทำ

หรือมันอาจจะผิดที่หนอเอง
ที่ตอนเรียนจบไม่ยอมเข้ารับปริญญา
ส่งรายงานตัวสุดท้ายเสร็จ
แล้วก็บินไปเรียนภาษาที่เกาหลีเลย

หนอเป็นคนขวางโลกมาแต่ไหนแต่ไร
พิธีรีตองนี่อย่าได้มาถาม
เพราะจะตอบไม่ได้
เป็นคนไม่ใส่ใจพิธีการเท่าไร

นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ไม่ค่อยมีรูปเก็บ
ไม่มีรูปตัวเอง ไม่มีรูปเพื่อน
ไม่มีรูปตัวเองคู่กับเพื่อน
ในโมเมนต์สำคัญๆ

หลายปีก่อนนัดทานข้าว
กับเพื่อนคณะเดียวกัน
เอกเดียวกันนี่แหละ
อยู่ดีๆ เพื่อนก็พูดขึ้น

'เออ "ทิม" ตกบันไดนะ'
เหตุการณ์ธรรมดาๆ
ที่เกิดขึ้นกับใครก็ได้
แต่กลับส่งผลยิ่งใหญ่กับคนคนหนึ่ง

หลังจากนั้นมาก็ได้ยินว่า
'ทิม' ต้องรักษาตัวยาว
เพื่อนฝูงก็ได้แต่ติดต่อห่างๆ
พ่อแม่เขาไม่สะดวกให้เข้าไปเยี่ยมนัก

ถึงตรงนี้หนอได้แต่นึกเสียดาย
ที่ไม่ได้ติดต่อ 'ทิม' เลย
ทั้งที่สมัยเรียนนั่งด้วยกันบ่อยมาก
'ทิม' เป็นคนที่เก่งและดี

อีกเหตุผลของการไม่ได้ติดต่อกัน
อาจจะมาจากลักษณะงานที่ทำ
เท่าที่เห็นจากฟีดเฟซบุ๊ก
'ทิม' เดินทางบ่อย อยู่ต่างประเทศซะเยอะ

สรุปก็คือต่างคนต่างห่างกันไปนั่นแหละ
ชีวิตหลังเรียนจบก็งี้
ไม่เหมือนสมัยเรียน
ที่เพื่อนดูจะเป็นทุกอย่างของชีวิต

จริงๆ ช่วงหลังมานี้
หนอพยายามหาทางติดต่อ
ทางบ้าน 'ทิม' เขานะ
เพราะอยู่ดีๆ ก็นึกถึง

หรือเพราะทำงานหนัก
เหนื่อยกับชีวิต
เลยคิดถึงชีวิตเก่าๆ
กับเพื่อนเก่าๆ ก็ไม่รู้แฮะ

ครั้งล่าสุดที่พูดถึง 'ทิม'
ก็คือพูดกับน้องรหัสมันนั่นแหละ
ทำงานด้วยกัน เจอกันทุกวัน
จะไประบายกับใครได้อีก

จนกระทั่งเช้าวันอังคารหนึ่ง
เมื่อเดือนที่แล้ว
เพื่อนสนิทก็ไลน์มา
'แก "ทิม" เสียแล้วนะ'

.
.
.
.

เชื่อรึเปล่า
คนคนนั้นจะป่วยหนักมาขนาดไหน
ไม่มีใครเตรียมใจไว้พร้อมหรอก
ไม่มีทาง

การตายจากกันน่าใจหายเสมอ
ไม่ว่าเราจะรักหรือเกลียดเขาก็ตาม
ไม่ว่าจะมากมายหรือน้อยนิดก็ตาม
ไม่ว่าจะบอกลาทันหรือไม่ก็ตาม

หนอใช้วันนั้นทั้งวัน
กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล
ใช้ชีวิตอย่างปกติ
และคิดว่าเพื่อนไปดีแล้ว

จากนั้นก็ใช้เวลาอีกสี่วัน
ร่วมกับรุ่นเป็นเจ้าภาพ นั่งฟังสวด
เตรียมของว่างให้แขกที่มา
และไปร่วมงานเผาในวันอาทิตย์

หนอไม่มีรูปคู่กับ 'ทิม' สักรูป
ไม่มีในเฟซบุ๊ก ไม่มีที่ไหนเลย
ได้แต่มาถ่ายกับรูปหน้าศพแบบกระดากๆ
ไม่รู้ต้องทำหน้ายังไงแน่

พอถึงวันเผา ฝนก็ดันมาตกซะนี่
ตอนงานเริ่มยังไม่หยุดตกดีด้วยซ้ำ
พวกเราที่มางานยังแซวกันว่า
'ทิม' ขี้ร้อน อากาศแบบนี้เหมาะแล้ว

ก็คงเป็นจริงอย่างที่แซวกัน
เพราะพอฝนหยุด อากาศก็เย็นสบายดี
แถมฟ้าก็เปิดเต็มที่ เป็นสีฟ้าสดสบายตา
เป็นบรรยากาศที่ดีสำหรับการบอกลา

หลังงานเลิก
หนอได้แต่นั่งคิดทบทวนว่า
ตัวเราใช้ชีวิตคุ้มหรือยัง
แล้วมีอะไรที่ควรเปลี่ยนแปลงบ้าง

จากที่ปกติเป็นคนไม่ชอบไปไหน
หนอเริ่มคิดวางแผน
ไปเที่ยวเมืองนอกจริงๆ จังๆ อีกครั้ง
ลองไปที่ที่ไม่เคยไป

เหมือนเป็นผลจาก
'ความอยากใช้ชีวิตแทนคนที่ไม่มีโอกาส'
หรือความรู้สึกอะไรประมาณนั้น
... อยากอยู่ให้คุ้ม

พอกลับมาบ้าน
หนอเปิดเฟซบุ๊กดู
พบว่าเพื่อนอีกคน (ที่ไม่ได้เรียนด้วยกัน)
ถูกแท็กรูป มันเลยเด้งขึ้นมาในฟีด

ปรากฏว่า หนอจำคนในรูปนั้นไม่ได้เลย
แต่ก็นั่นแหละนะ คนป่วยก็อย่างนี้
รายนี้ป่วยเป็นมะเร็ง ไม่ได้ตกบันได
เป็นหนักพอดู เลยดูอิดโรยมาก

หนอรู้จัก 'ปัถย์' เพราะเชียร์บอลทีมเดียวกัน
ติดต่อกันครั้งแรกผ่านกลุ่มในทวิตเตอร์
ตอนหลังมารู้อีกว่า 'ปัถย์' เป็นเพื่อนของเพื่อน
เลยมีการนัดเจอนอกวาระฟุตบอลด้วย

หนอกลัวว่า 'ปัถย์' จะรีบไปเหมือน 'ทิม'
เลยส่งข้อความไปทางเฟซบุ๊ก
เล่าให้ฟังถึงแผนที่จะไปเที่ยว
หวังว่าเขาจะตื่นเต้นดีใจด้วย

'เดี๋ยวจะไปถ่ายรูปหน้าสนามมาอวด'
คือข้อความที่ส่งไป
ฟังดู Geek มากนะ
แต่หัวจิตหัวใจแฟนบอลมันมีแค่นี้จริงๆ

หนอหวังว่าประโยคแบบนี้
จะทำให้ 'ปัถย์' ยิ้มได้บ้าง
พอให้ลืมความเจ็บป่วยไปได้บ้าง
พอให้นึกถึงการใช้ชีวิตปกติได้บ้าง

มันเพียงพอมั้ยนะ คำถาม Geek ๆ
กับความเจ็บป่วยระดับมะเร็งระยะท้ายๆ
มันเพียงพอมั้ยนะ
ความหวังดีจากเพื่อนห่างๆ คนหนึ่ง

เช้าวันอังคาร
สัปดาห์ที่ถัดจากข่าวร้ายของ 'ทิม'
ฟีดเฟซบุ๊กหนอเต็มไปด้วยกำหนดการ
วันสวดและวันเผา 'ปัถย์'

.
.
.
.

ข้อความของหนอไม่เคยถูกอ่าน
'ปัถย์' ไปสบายแล้ว
แล้วชุดดำที่เพิ่งซัก
ก็ต้องถูกหยิบมาใส่อีกครั้ง

มันไม่มีคำตอบหรอก
ว่าทำไมคนเก่งๆ ดีๆ ถึงต้องรีบไปนัก
พอๆ กับที่มันอธิบายไม่ได้
ว่าทำไมคนใช้ชีวิตไม่คุ้มอย่างหนอถึงยังอยู่

คนเราใช้ชีวิตไปวันๆ
รอให้แต่ละเดือน แต่ละปีผ่านไป
โดยที่ไม่ค่อยนึกถึงว่า
มันมีบางบุคคลที่ก็ต้องผ่านเลยไปด้วย

สำหรับหนอ
'ทิม' กับ 'ปัถย์' เป็นคนที่ผ่านไปแล้ว... ในปีนี้
ในช่วงเวลาเดียวกับคุณลุง (พี่ชายพ่อ)
และโมโม่ (หมาที่บ้าน) ก็จากไปด้วย

คนหนึ่งคน
จะต้องร้องไห้ให้กับความสูญเสียกี่ครั้งกันนะ
แล้วจะมีปีไหนมั้ยที่เราจะแข็งแรงพอ
และรับมือกับมันได้แบบไม่สึกหรอ

หรืออารมณ์ดีใจเสียใจแบบนี้
เป็นเสน่ห์ของการมีชีวิตอยู่?
หรือการนั่งนึกถึงคนที่ผ่านไปแล้ว
เป็นพลังให้เรามีชีวิตอยู่ได้ดีขึ้นกันแน่?

หมดปีแล้ว
หนอหวังว่าคุณผู้อ่านทุกคน
คงจะมีบทเรียนจากการใช้ชีวิต
ในปีที่กำลังจะผ่านไปไม่มากก็น้อย

ปีหน้ามาเริ่มใหม่กันนะคะ
อะไรที่ดีก็คงไว้
อะไรที่ไม่ดีก็ปรับเปลี่ยนกันไป
ใช้ชีวิตแต่ละวันให้คุ้มค่า

ใช้เวลาไม่กี่วันที่เหลือในปีนี้
บอกลาสิ่งไม่ดีในชีวิต
บอกลาปีที่ผ่านไป
บอกลาคนที่ผ่านไป

.
.
.
.

สวัสดีปีใหม่ค่ะ

October 27, 2015

ดู.แตะ.ดม.ชิม | ศาสตร์การลิ้มลองชีส


'ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการรับประทานชีส
แค่ชีสหนึ่งชิ้น ขนมปังอีกหนึ่งแผ่น
ตามด้วยไวน์ดีๆ สักแก้ว' - โลร็อง พูส

---------

โลร็อง พูส กำลังจัดแจงวัตถุดิบบนโต๊ะ
ตอนที่สื่อมวลชนทยอยเดินเข้าไปยัง
ห้องอาหารเมโทรออนไวเลส
โรงแรมโฮเต็ล อินดิโก กรุงเทพฯ

ประสบการณ์ทำงานในแวดวงอาหาร
กับบริษัทใหญ่ทั่วโลกหลายแห่ง
ทำให้เขาเข้าใจวัฒนธรรมการรับประทาน
ของประเทศต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

แม้ว่าวันนี้ พูส จะรับหน้าที่ผู้บรรยาย
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุดิบอาหารและเครื่องดื่ม
และเลขาธิการประจำประเทศไทย
ของสมาคม Les Disciples d'Escoffier

เขาก็ยังยืนยันว่า 'ชีส'
ไม่จำเป็นต้องคู่กับอาหารฝรั่งเศสเสมอไป
และสามารถนำไปประยุกต์
รับประทานคู่กับเมนูดังจากทั่วโลกได้


พูส กล่าวว่า ชีสแต่ละชนิดมีลักษณะเฉพาะ
ตั้งแต่ประวัติความเป็นมา ขั้นตอนการทำ
ไปจนถึงรสชาติ และผิวสัมผัส
จึงควรค่อยๆ ลิ้มลองอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

เขาแนะนำว่าการเลือกสรรชีสที่ต้องการ
จากทั้งหมดกว่า 1,200 ชนิดนั้น
จะต้อง ดู - สัมผัส - ดม - ชิม
ถึงจะถือได้ว่าสมบูรณ์ครบถ้วน

สำหรับคนที่ชอบรับประทานอาหารรสจัด
พูส แนะนำให้จับคู่ชีสกับสมุนไพร
เช่น ใบกะเพรา ใบขึ้นฉ่าย ต้นหอม และผักชี
หรือเครื่องเทศหอมฉุนชนิดอื่นๆ

นอกจากนี้ ชีสยังรับประทานร่วมกับของหวานได้อีกด้วย
ซึ่ง พูส ได้ยกตัวอย่างเพื่อนของเขาที่จับคู่ชีส
เข้ากับกล้วยและช็อกโกแลต
แล้วออกมารสชาติกลมกล่อมลงตัวอย่างน่าทึ่ง


การจัดงานเวิร์กชอปชีสจากยุโรปครั้งนี้
ทำให้พวกเราที่เข้าร่วม
เข้าใจถึงเอกลักษณ์ของชีสฝรั่งเศส
และการประยุกต์เข้ากับอาหารต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

ต้องขอบคุณองค์กรส่งเสริมผลิตภัณฑ์จากนม
ประจำประเทศฝรั่งเศส หรือ Le CNIEL
ที่ต้อนรับพวกเราอย่างอบอุ่น
และให้ความรู้ครบถ้วนอย่างเป็นกันเองและสนุกสนาน

เห็นอย่างนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะลองคิดเมนู
ที่มีชีสเป็นส่วนประกอบขึ้นมาเอง
และหวังว่าครั้งต่อไปที่จัดงานสังสรรค์
จะได้ลองจับคู่ชีสกับไวน์แก้วโปรดดูบ้าง

เพราะการรับประทานถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง
ที่ต้องลอง ดู - สัมผัส - ดม - ชิม
อย่างเป็นขั้นตอน
ไม่ต่างกับศาสตร์การลิ้มลองชีสนั่นเอง

September 22, 2015

1 เดือนที่ผ่านไป

เอพิคเตตัส (Epictetus) นักปรัชญาชาวกรีก
เคยกล่าวไว้ว่า
'หากท่านหวังที่จะเป็นนักเขียน ก็จงเริ่มเขียน'
(If you wish to be a writer, write.)

บางทีกุญแจที่จะไขประตูไปสู่เส้นทางต่างๆ
สิ่งต่างๆ ในชีวิต
อาจต้องเริ่มต้นเช่นนี้ก็เป็นได้
แค่เริ่มสร้าง เริ่มลงมือทำ

หนอแทบไม่ได้เขียนบล๊อกเลย
ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
แม้แต่ช่วง 1 เดือนที่เพิ่งผ่านไปนี้
ทั้งที่ชีวิตค่อนข้างจะว่างทีเดียว

15 สิงหาคม เป็นวันที่หนอทำข่าว
ให้วอยซ์ทีวีเป็นวันสุดท้าย
หลังจากที่ทำงานมา 1 ปี กับอีก 353 วัน
(หรือก็คือเกือบจะ 2 ปีนั่นแล)

เหตุผลหลักของการลาออก
เป็นเรื่องสุขภาพร่างกาย
โรคนอนไม่หลับเริ่มกระทบการทำงาน
การตื่นตีสามเข้างานตีสี่เริ่มไม่ใช่เรื่องง่าย

แน่นอนว่าสภาพร่างกายที่ไม่สมบูรณ์
ย่อมทำให้สภาพจิตใจทรุดลงตามไปด้วย
ประกอบกับเหตุผลข้างเคียงอื่นๆ
ที่มนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งจะมีได้

หนอไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่งกล้าสามารถ
ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคน 100 เต็ม 100
มั่นใจอย่างมากสุดก็ 80 เต็ม 100
และนั่นคือศักยภาพทั้งหมดที่มี

แต่เรื่องมันมีอยู่ว่า
ยิ่งหนอทำงานไปเท่าไร
ยิ่งสัมผัสได้ว่าตำแหน่งที่ทำอยู่
ต้องการจากหนอแค่ 40 เต็ม 100

เท่ากับว่าไม่ว่าจะทำเต็มที่เท่าไร
ก็มีพื้นที่ให้เพียงเท่านี้
ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้
ไม่กว้างไม่แคบไปกว่านี้

ลองนึกภาพหนอเป็นคนอ้วน
ที่ต้องนั่งเก้าอี้ตัวเล็กๆ
พยายามเบียดตัวเองลงไป
พยายามนั่งให้สบาย

แต่คนเราจะสบายในที่แบบนั้นได้เหรอ
และถ้าได้ จะได้นานสักเท่าไรกัน?
และแล้ว ขนาดใจหนอก็เริ่มเล็กลงเรื่อยๆ
และความนับถือตัวเองก็ลดลงด้วยเช่นกัน

มิถุนายน-กรกฎาคมเป็นช่วงที่ทุกข์ทรมาน
หนอใช้คำนี้ได้เลย 'ทุกข์ทรมาน'
เพราะพอใจมันไม่สู้เสียแล้ว
จะให้ทำอะไรมันก็ไม่ไหว

หนอจำได้ว่า
Timehop เคยเด้งข้อความเก่าขึ้นมา
ที่หนอตอบใครสักคนว่า
อาชีพนักข่าวมีเสน่ห์ตรงไหน

หนอตอบไปว่า
'ไม่ได้ดึงดูดพอให้ตกหลุมรัก
แต่ดึงดูดพอให้อยากตื่นไปทำงานทุกวัน'
ซึ่งถึงวันนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว

เราไม่ได้ทำงานกับแค่ตัวงานอย่างเดียว
แต่เราทำงานกับทั้งองค์กร
คนใน คนนอก ระบบต่างๆ
เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน ปัจจัยแวดล้อมต่างๆ

เราไม่ได้ตื่นมาเจอข่าว แล้วก็แปลๆๆ
แต่เรามีอินเทอร์เน็ตล่ม ปรินเตอร์เสีย
ภาพข่าวไม่มี ตัดต่อไม่ได้
เวลาขาด เวลาเกิน และอีกมากมาย

ความจริงแล้วทั้งหมดนี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
ถ้าไม่หมดใจ เป็นใครก็ทำต่อได้
แต่เพราะหนอไม่ไหวแล้ว ไม่เอาแล้ว
ทุกอย่างในทุกวันจึงเป็นฝันร้ายที่ไม่จบไม่สิ้น

ปลายเดือนกรกฎาคม หนอดีขึ้นมาก
ส่วนหนึ่งเพราะไปเข้าอบรม
'เข็มทิศชีวิต' (กับครูอ้อย - ฐิตินาถ ณ พัทลุง)
ซึ่งหนอขอไม่กล่าวถึงมากในบล๊อกนี้

ไม่ใช่ทุกคนที่เชื่อในการอบรมแบบที่ว่า
และไม่ใช่ทุกคนที่เลือกแก้ไขปัญหาด้วยวิธีนี้
แต่เอาเถอะ หนอแค่จะบอกว่าหนอรู้สึกดีขึ้น
และการทำงานในเดือนสุดท้ายก็ราบรื่นมาก

ทีนี้ หนอออกจากงานแล้วมาทำอะไรล่ะ?
อย่างแรกเลย 'พัก'
หนอไปรักษาอาการเจ็บไหล่ซ้ายที่
โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน ม.มหิดล

จากนั้นอาการนอนไม่หลับก็เริ่มทุเลา
ส่วนหนึ่งคงเพราะไม่กดดันตัวเอง
ให้ต้องเข้านอนเร็ว หลับเร็ว
แม้จะกำเริบบ้าง ก็ไม่ค่อยหนักหนาเท่าไร

นอกจากนั้น ก็เอาตำราเกาหลีมาลองเรียบเรียง
หาวิธีสอนที่ง่ายๆ ใช้เวลาน้อยๆ
แล้วบอกเพื่อนที่มีสถาบัน มีที่ทาง
ว่าถ้ามีคนอยากเรียน หนอสอนให้ได้

อีกอย่างก็คือ ได้ลองสร้างแบรนด์เครื่องสำอาง
ซึ่งไม่ได้ผลิตอะไรใหญ่โตหรอก
ทำผลิตภัณฑ์เดียวก่อน
ตอนนี้กำลังอยู่ในกระบวนการผลิต

หลายคนเคยบอกว่า
การจะทำอะไรใหม่ๆ ให้สำเร็จ
ไม่ควรทิ้งงานที่เก่า
ก่อนจะเห็นเค้าลางความสำเร็จนั้น

หนอเห็นด้วย
และเห็นว่าในหลายกรณีเป็นเช่นนั้น
แต่หนอทำไม่ได้จริงๆ
เพราะงานที่หนอทำดูจะดึงทุกอย่างไปหมด

หนอกลายเป็นคนที่คิดถึงแต่ข่าว
ตลอดเวลาที่ลืมตาตื่นในแต่ละวัน
ความคิดสร้างสรรค์เริ่มหดหาย
สำนวนการเขียนเริ่มเป็นทางการเกินไป

โทรทัศน์ Prime Time กลายเป็นเรื่องต้องห้าม
เพราะต้องเข้านอนเร็ว เพื่อตื่นทำข่าวเช้า
ซึ่งแน่นอนว่า การนัดเจอเพื่อนฝูง
ก็ต้องเป็นเย็นวันที่รุ่งขึ้นไม่ต้องดิ้นรนตื่นเร็วด้วย

ชีวิตแบบนี้ดำเนินไป
ท่ามกลางสัญญาณเตือนว่า
หน้าที่การงานหนอจะไม่มีทางก้าวหน้า
กว่าที่เป็นอยู่นี้เด็ดขาด

ก็นั่นแลนะ... หนอตัวอ้วนๆ ที่นั่งเก้าอี้เล็กๆ
เมื่อถึงวันที่เก้าอี้มันถูเราจนเป็นแผล
เราจะทนนั่ง ไม่ขยับเขยื้อนตัว อยู่ต่อไป
หรือจะเปลี่ยนเก้าอี้ หาเอาที่พอเหมาะพอดี

สุดท้ายแล้ว หนอก็เลือกแบบที่เล่ามานี่แล
เลือกที่จะเปลี่ยนเก้าอี้
เลือกที่จะออกมาทำอะไรใหม่ๆ
เลือกที่จะสร้างบางอย่างที่เป็นตัวเราจริงๆ

หลังจากนี้ ทุกอย่างที่หนอทำ
ทั้งสอนภาษา (อังกฤษ-เกาหลี) และทำแบรนด์
จะเป็นสิ่งที่หนอสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง
อย่างสุดความสามารถเสมอ

ณ วินาทีนี้
ถึงแม้มันจะยังไม่เป็นรูปเป็นร่างชัดเจน
แต่หนอก็ภูมิใจแล้วที่ได้
'กล้า' ที่จะลงมือทำ

---------

และทั้งหมดนั่นคือ
'1 เดือนที่ผ่านไป' ของหนอ
แล้ว 1 เดือนของคุณล่ะ?

If you wish to be a writer, write.


September 14, 2015

ชื่อนี้ท่านได้แต่ใดมา?

การตั้งชื่อให้กับอะไรสักอย่าง
เป็นสิ่งที่ผู้ตั้งมักจะต้องคิดแล้วคิดอีก
ทำให้เวลาที่ถามถึงที่มาของชื่อเหล่านั้น
ก็จะได้คำตอบที่ยาว เป็นเรื่องเป็นราวทีเดียว

---------

และนี่คือที่มาของชื่อบริษัท
ของคนดังฝั่งฮอลลีวูดเหล่านี้...


Leonardo DiCaprio
กับบริษัท Appian Way

'ตอนที่ถ่ายทำหนัง Gangs of New York ในอิตาลี
ผมขับรถผ่านทาง Appian Way ทุกวัน
มันเป็นเส้นทางที่กองทัพโรมันเคยใช้เดินทัพ
ออกไปพิชิตเมืองต่างๆ ซึ่งผมว่ามันเป็นชื่อที่ดีนะ
แสดงถึงชัยชนะ แสดงถึงการก้าวเดินไปข้างหน้า'


George Clooney
กับบริษัท Smokehouse Pictures

'เป็นชื่อที่ตั้งตามร้านอาหารกึ่งบาร์
ที่อยู่ตรงข้ามกับ Warner Bros.
ซึ่งพวกเรามักจะนัดเจอกันเพื่อประชุมงาน'


Steve Carell
กับบริษัท Carousel Productions

'Carousel แผลงมาจากนามสกุล
ของบรรพบุรุษผมเอง - Caroselli'


Robert Redford
กับบริษัท Wildwood Enterprises

'ชื่อนี้มาจากมุมหนึ่งของหุบเขาในซันแดนซ์
รัฐยูทาห์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของผม
จนถึงตอนนี้ ที่แห่งนั้นก็ยังสร้างแรงบันดาลใจ
ให้ผมสร้างสรรค์งานออกมาได้เสมอ'


Kevin Spacey
กับบริษัท Trigger Street Productions

'Trigger Street เป็นชื่อถนนในแชตสเวิร์ต
รัฐแคลิฟอร์เนีย - บ้านเกิดของผม'


Tom Hanks
กับบริษัท Playtone

'มาจากชื่อของบริษัทเพลง
ในหนัง That Thing You Do!'


Francis Ford Coppola
กับบริษัท American Zoetrope

'Zoetrope คืออุปกรณ์สร้างภาพเคลื่อนไหว
ในยุคแรกๆ ซึ่งเกิดจากคำในภาษากรีก
คือ zoe ที่แปลว่า ชีวิต และ tropos ที่แปลว่า หมุน'


Martin Scorsese
กับบริษัท Sikelia Productions

'Sikelia เป็นชื่อกรีกโบราณของซิซิลี
ซึ่งเป็นบ้านเกิดของตายาย'
*เดิมบริษัทนี้ชื่อ Cappa ซึ่งเป็นนามสกุลแม่


Stan Lee
กับบริษัท POW! Entertainment

'POW มาจาก Purveyors of Wonder!
แปลตรงตัวว่า ผู้จัดส่งความน่าแปลกใจ
เพราะแต่ละโปรเจกต์ที่ทำมักจะแฟนตาซี
กระตุ้นจินตนาการของผู้ชมทั่วโลกได้เสมอ'


George Lucas
กับบริษัท Industrial Light & Magic

'อยู่ดีๆ ผมก็นึกคำนี้ขึ้นมาได้
ระหว่างที่ทำ Star Wars เมื่อปี 1975
เพราะนั่นคือสิ่งที่เราทำ
- นั่งอยู่ใน industrial park
และใช้ light เพื่อสร้าง magic'


Bryan Singer
กับบริษัท Bad Hat Harry Productions

'ในหนัง Jaws ซึ่งเป็นเรื่องโปรดของผม
หัวหน้า Brody (พระเอก) พูดกับชายแก่ว่า
That's some bad hat, Harry
ผมเลยเอามาตั้งชื่อบริษัท'


Adam Sandler
กับบริษัท Happy Madison

'มาจากหนัง 2 เรื่องของผมเอง
- Happy Gilmore
กับ Billy Madison'


Nicole Kidman
กับบริษัท Blossom Films

'อยากได้ชื่อที่ดูละเอียดอ่อน
เน้นการบ่มเพาะงานแต่ละชิ้นอย่างตั้งใจ
เลยออกมาเป็นชื่อนี้'

August 24, 2015

#LifeHack กาแฟนม

น้องที่ออฟฟิศคนหนึ่งเมนชั่นขึ้นมาว่า
กาแฟที่ซื้อมาไม่ช่วยให้ตื่นมากขึ้นเลย
ซึ่งนั่นเป็นปัญหาใหญ่ของมนุษย์กะเช้า
หรือแม้แต่มนุษย์กะอื่นๆ
ที่เวลาไม่ตรงกับชาวบ้านอย่างพวกเรา

หนอตอบกลับไปว่า
'งั้นแกต้องกินกาแฟกระป๋องแล้วแหละ'
เพราะเคยได้ยินมาว่า
กาแฟกระป๋องมักมีคาเฟอีนมากกว่า
กินแล้วมักจะตาค้างกว่ากาแฟที่ซื้อๆ กัน

'มันไม่อร่อยอะดิ'
น้องมันตอบกลับมาอย่างนี้
ซึ่งก็จริงของมัน
เลยบอกให้มันหานมอร่อยๆ เทใส่แทน
แล้วนั่นคือสิ่งที่พวกเราทำ

ทั้งสัปดาห์หลังจากนั้น
เราสองคนต่างฝ่ายต่างหากาแฟกับนม
มาผสมกินกันแบบให้ตาค้างไปข้างหนึ่ง
เพื่อลองว่าแบบไหนอร่อยที่สุด
และพบว่ามันอร่อยแทบทุกแบบ

สรุปว่านอกจากจะ 'ตื่น' และ 'อร่อย' แล้ว
การเอากาแฟดำกระป๋องมาผสมนมจืดดีๆ
เป็นกาแฟที่ถูกกว่าที่ซื้อกันทั่วไปเป็นไหนๆ
เพราะฉะนั้น ใครที่มีปัญหาแบบพวกเรา
ลองเอาไปทำตามดูนะคะ

น่าจะช่วยได้ไม่มากก็น้อย :)

July 6, 2015

อะไรที่เป็นของเรา...


ดาบฟ้าฟื้น...

#ผิด

นี่คือร่ม...
ร่มแบบเดียวกับที่หนอลืมไว้ในโรงหนังวันก่อน
ร่มยาวสีใสๆ ที่ดูยังไงก็ต้องเป็นของแถม
หรือซื้อเพราะความจำเป็นบังคับแน่ๆ

แน่นอน
หนอได้ร่มคันนี้มา
เพราะการซื้อสินค้าจาก Flea Market แห่งหนึ่ง
ซึ่งร่มก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสินค้าที่ซื้อเลยด้วย

คงเป็นเพราะนี่คือหน้าฝน
และสิ่งที่จะเหมาะกับหน้าฝนก็ต้องเป็นร่ม
คนขายคงไม่รู้ว่าหนอมีร่มแบบนี้
และคงไม่รู้ว่าหนอเพิ่งทำมันหายไป

ความจริงก็ไม่เชิงหายหรอกนะ
แค่วางไว้ข้างๆ ตอนดูหนัง
แต่พอหนังจบก็เดินออกจากโรงเลย
กว่าจะนึกได้ก็ออกมาไกลแล้ว

ไม่ได้เสียดายหรืออะไรมาก
แค่หงุดหงิดนิดหน่อย
ที่เรื่องแค่นี้ไม่น่าพลาด
ดูเป็น Flaw ดูไม่สมบูรณ์แบบ

แต่แล้วหนอได้อะไรจากเรื่องนี้
ถึงต้องมาเขียน Blog กันเลยทีเดียว?
จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องเท่าไรหรอก
หนอนึกอะไรได้ระหว่างที่ได้ร่มคันนี้มาเท่านั้นแหละ

อะไรที่จะเป็นของเรา
มันก็เป็นของเราเนอะ
มันเป็นของคนอื่น
เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้

ไม่สิ ของบางอย่าง
อาจจะเคยเป็นของคนอื่นมาก่อน
ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง สิ่งของ
หรือแม้แต่บุคคลก็ตาม

สุดท้ายแล้ว
สิ่งที่ต้องอยู่กับเรา
ก็จะหาทางเข้ามาอยู่ในชีวิตเราจนได้
ไม่ว่าจะหนีหายกันไป คลาดกันไปกี่รอบ

 มันจะมีอีกสักกี่อย่าง กี่คน
ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตหนอแบบนี้อีกนะ?
สิ่งที่เราถูกกำหนดมาให้เจอ
ให้ครอบครอง ให้รักษาไว้

แล้วการกำหนดที่ว่า
มันเกิดจากปัจจัยอะไรบ้าง?
 บุญเก่า บาปเก่า แต่ชาติปางก่อน
บุญใหม่ บาปใหม่ ในภพชาตินี้

หลายครั้งที่เรานึกตั้งคำถาม
กับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว
ทั้งที่ดี และไม่ดี
ที่ต้องการ และไม่ต้องการ

ทำไมสิ่งเหล่านี้ คนกลุ่มนี้
ถึงได้อยู่ในชีวิตเรา
ทำไมเราถึงชอบ/ไม่ชอบสภาวะที่เป็น
ทำไมเราจึงกำหนดการมี/ไม่มีอยู่ของมันไม่ได้

มาถึงตอนนี้
ขอให้เชื่อเถอะว่า
อะไรที่เป็นของเรา
มันจะเป็นของเราวันยังค่ำ

และเมื่อสิ่งใดๆ นั้นมาเป็นของเราแล้ว
ก็ขอให้ปฏิบัติกับมันอย่างเหมาะสม
ที่ดี ก็เก็บรักษาไว้
ที่ไม่ดี ก็รีบปล่อยออกไป

----------

ขอให้ทุกคนมีวันจันทร์ที่สวยงามค่ะ

July 4, 2015

On a day like this...

On a day like this
When nothing goes wrong
Everything is calm
I decide to quit
And so the world goes quiet

I have to quit this life
I think
This kind of life
And then heal myself
From the wound I’ve created

And maybe travel for a bit
In search of a smile
My long lost smile
My real smile
A forgiving one which I used to have

Everyone would wonder why
You know?
They wouldn’t understand
As a matter of fact
I, too, wonder why

Why am I here?
Why did I choose to be here?
Where else can I go?
What else can I do?
Am I capable of change?

I’m going to miss this life
Somehow
It’s been my entire being for almost 2 years now
There may not be anyone missing me, though
I’m the one who chooses to go

The one who goes
The one who leaves
The one who doesn’t have courage
To stand and fight
She abandons the battle

And yes, she wonders
Will she ever be able to win the war?
Can she find her smiles?
Can she be whole again?
Or is there another battle waiting for her to abandon, again?

June 23, 2015

หมวกกับกระบี่


เมื่อสักพักใหญ่มาแล้ว หนอต้องไปงานศพงานหนึ่ง
พ่อของพี่ที่ทำงานเพิ่งเสีย หลังป่วยหนักมาสักพัก

คนทำข่าว กว่าจะหาเวลาว่างเพื่อไปงานตรงกันยากมาก
แต่ก็ได้มาหนึ่งวัน แม้จะไม่ตรงกับวันที่บริษัทเป็นเจ้าภาพ

เคลียร์คิว-ปั่นงานกันเสร็จสรรพ ทุกคนก็มุ่งหน้าไปวัด
หลงทางเล็กน้อย เพราะไกลและแทบไม่มีใครเคยไปเลย

กว่าพวกเราจะไปถึง พระก็เกือบจะสวดพอดี
ตำรวจเต็มงานเลย ถึงเพิ่งรู้ว่าคืนนั้นเขาเป็นเจ้าภาพ

พอได้ที่นั่งก็กวาดตามองพวงหรีดหน้าศาลาสักหน่อย
พอจะเดาได้ว่าคุณพ่อสังกัดอะไร แล้วเราก็ฟังสวดไป

คืนนั้นหนอกลับบ้านด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย
เพราะอยู่ดึกเกินเวลาที่ต้องเข้านอนแล้ว

การรับหน้าที่ทำข่าวเช้าเป็นเรื่องกดดันเสมอ
นอกจากผิดเวลาไม่ได้แล้ว เวลานอนยังไม่ตรงกับคนหมู่มากอีก

หนอจำได้ว่าหันไปคุยกับนาย
บอกว่าหนอเป็นคนไม่ค่อยสุงสิงกับใคร

ไม่ค่อยไปงาน ทั้งงานมงคล-อวมงคล
คงเป็นข้อเสียของคนสันโดษ ที่ต้องเสียมารยาทอยู่ตลอด

นายตอบกลับมาว่าเขาก็ไม่ชอบไปงาน
โดยเฉพาะงานแต่งงาน

เพราะงานมงคลนี่เราจะไปหรือไม่ไป
คนจัดก็มีความสุข

แต่งานศพ หรืออะไรเทือกนี้
คนจัดต้องการกำลังใจ ยังไงก็ควรไป

นึกดูแล้วมันก็จริง
แทบทุกคนในงานพูดเป็นเสียงเดียวกัน

'วัดไกลมากเลย
นี่ถ้าไม่ใช่งานพี่...นะ ไม่มาหรอก'

งานแบบนี้คงเป็นงานวัดใจจริงๆ นั่นแล
แขกบางคนอาจมาเพราะผู้ตาย แต่ที่มาเพราะผู้อยู่ก็มีไม่น้อย

สำหรับงานวันสวด
หนอตกตะกอนได้ประมาณนี้

จากนั้นไม่กี่วันก็มีคนเปรยขึ้นว่า
วันเสาร์ ซึ่งเป็นวันเผา จะไปกันอีก

แน่นอนว่าไม่ได้ง่ายกับชีวิตขึ้นกว่าเดิม
เพราะพวกเราทุกคนที่จะไปต้องเข้าเวรกันทั้งนั้น

เท่ากับว่าต้องทำข่าวค่ำให้เสร็จตอนบ่ายแก่ๆ
แล้วออกเดินทางกันทันที

สุดท้ายก็ผิดแผน
เพราะต้องรอคนกลับจากรายงานสดนอกสถานที่

แถมมีแผ่นดินไหวภูเขาไฟระเบิดอะไรอีก
เลยตกหล่น เพราะต้องเกาะติดข่าว ไปกันไม่ครบ

แต่หนอก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้ไปนะ
แม้จะออกจากออฟฟิศกันเย็นมากก็ตาม

ฝนที่ตกกระหน่ำก็เป็นส่วนหนึ่ง
ที่ทำให้เดินทางล่าช้าออกไป

ซึ่งก็ได้ผลอย่างที่คาด
พวกเราไปไม่ทันวางดอกไม้จันทน์

สรุปว่าการเดินทางไปทั้งวันสวดวันเผา
ก็ไปถึงงานสายแบบไม่ผ่านมาตรฐานหนอสักครั้ง

นับว่าเป็นงานที่หนอเซ็งระดับหนึ่งทีเดียว
และนี่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งของนิสัยรักสันโดษของหนอก็ได้

มากคนก็มากความใช่ไหมเล่า
ต้องรอกันไปมา จะด้วยความเอื้อเฟื้อ มารยาท หรืออะไรก็ตาม

ท่ามกลางเสียงฝน เสียงพูดคุย และเสียงในหัวหนอเอง
ลูกสาวคนหนึ่งของผู้ตายก็ยกพานมาวางกลางโต๊ะ

เสียงที่ดังแบบโลหะกระทบไม้ไม่ได้น่าสนใจเท่ากับว่า
ในพานนั้นมีอะไรวางอยู่บ้าง

แล้วหนอก็หันไปเจอ 'หมวกกับกระบี่'
ตามที่เห็นในภาพด้านบน

หนอชะงักไปนิดหนึ่ง แบบหาสาเหตุไม่ได้
แล้วก็นึกได้ว่า... นี่คงเป็นงานแรก

 เป็นงานแรกที่ผู้ตายรับราชการมีตำแหน่งด้วย
แล้วก็เป็นงานแรกที่ผู้ตาย 'เหลือ' อะไรไว้ด้วย

มันง่ายมากที่จะเดินเข้าและเดินออกจากพิธีต่างๆ
ที่เกิดขึ้นซ้ำเดิม แบบขอไปที แบบไม่รู้สึกอะไร

งานศพที่ปิดโลงแล้ว วางดอกไม้แล้ว ก็แล้วกัน
งานแต่งที่ใส่ซองแล้ว ถ่ายรูปกับบ่าวสาวแล้ว ก็แล้วกัน

หมวกกับกระบี่ในพานนั้นทำหน้าที่ของมันได้ดี
ทั้งกับผู้ตายเมื่อยังมีลมหายใจ

และกับหนอ แขกห่างๆ ของลูกสาวของโตของผู้ตาย
ให้นึกย้อนไปว่า เท่านี้นี่แลที่คนคนหนึ่งจะเหลืออยู่ในโลก

ซึ่งถ้าไม่ใช่ตำรวจ ทหาร ข้าราชการ
ที่มีพานทองรองรับอะไรสักอย่างหน้าศพแล้ว

คนทั่วไปอย่างเราๆ ท่านๆ
อย่างตัวหนอเอง หรือคุณที่กำลังอ่านอยู่...

จะเหลืออะไร?
คนเราจะเหลืออะไรไว้ให้คนข้างหลัง... ให้โลกบ้าง?

หนอว่าคนทุกคนควรสร้างหมวกกับกระบี่ของตัวเอง
ไม่ว่าจะใหญ่เล็ก ยศศักดิ์อะไร มีคุณค่าแค่ไหนก็ตาม

ขอเพียงแค่ในวันที่เราไม่อยู่แล้ว
ยังมีบางอย่างให้คนข้างหลังได้คิด ได้ตกตะกอน

ได้อยากเป็นคนดี
ได้อยากสร้างหมวกกับกระบี่ต่อไปบ้างก็น่าจะพอ

แค่นั้นก็คงพูดได้ว่า เราได้ใช้ชีวิตเต็มที่แล้ว
ได้อยู่จน 'คุ้ม' แล้วจริงๆ

April 21, 2015

ฆ่าเวลา




เราฆ่าเวลาไปกับอะไรบ้าง?
บางคนฆ่าเวลาไปกับการชอปปิ้ง
การคุยโทรศัพท์ การแชต การทวีต
การอัปรูป อัปคลิป อัปสเตตัส

บางคนฆ่าเวลากับอะไรที่นานกว่านั้น
กับงาน กับความสัมพันธ์
ทั้งครอบครัว เพื่อน แฟน
ใช้เวลาไปเป็นปีๆ

หลายครั้งที่การฆ่าเวลาแบบนั้น
ทำให้เรารู้สึกว่าเราเสียเวลา
เปลืองเวลา
และอยากเรียกกลับคืนมาซะให้ได้

ทำไมเราต้องจมอยู่กับบางสิ่ง
ทั้งที่มันไม่เกิดประโยชน์
ทำไมเราเลือกทำ
เลือกอยู่กับสิ่งเหล่านั้นแต่แรก

ทำไมเราเลือกอยู่กับสิ่งที่ไม่ใช่
มาได้ตั้งเนิ่นตั้งนาน
เพียงเพราะตอนนั้นมันดูใช่
หรือแม้แต่ 'ดูหมือนจะใช่'

เป็นเรื่องปกติที่เวลา
จะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
ซึ่งนั่นก็รวมถึง
ตัวเราทุกคนด้วย

ความจริงแล้ว
มันไม่มีอะไรที่ 'เสียเวลา'
ทั้งนั้นนั่นแหละ
ทุกอย่างอาจจะถูกกำหนดมาแล้ว

บางทีเราอาจจะถูกกำหนดมา
ให้เรียนรู้ที่จะอยู่กับ 'ความไม่ใช่'
ให้เรียนรู้ที่จะผิดพลาด
และให้กล้าเคารพตัวเองเมื่อผิดพลาดไปแล้ว

บางทีมันก็ไม่ใช่การ 'ฆ่าเวลา'
ซะทีเดียวหรอก
มันเป็นการ 'ใช้เวลา'
อย่างหนึ่งนั่นแหละ

ไม่มีใครทำถูกอยู่ตลอดหรอก
แล้วก็ไม่มีใครมีสาระตลอดด้วย
บางทีเราแค่ต้องนั่งจิบกาแฟ
แล้วปล่อยให้โลกมันหมุนไป

... จริงๆ นะ

April 19, 2015

รอให้เมฆก้อนนี้ผ่านไปก่อน


'รอให้เมฆก้อนนี้ผ่านไปก่อน'
คือสิ่งที่ช่างภาพพูดกับหนอ
เมื่อตอนพวกเราพยายามจะถ่ายสกู๊ป
ที่โฮสเทลชื่อดังแห่งหนึ่ง

วันนั้นแดดค่อนข้างแรง
แต่มีเมฆมาก
ทำให้แสงที่ส่องลงมาไม่ค่อยสวย
ขาดๆ เกินๆ

นั่งรออยู่สักพัก
ไม่กี่อึดใจ
เมฆก้อนที่ว่าก็ค่อยๆ พัดเลยไป
ทำให้ทำงานกันต่อได้ราบรื่นอีกครั้ง

หลายครั้งที่การทำงานเต็มที่
ไม่ส่งผลให้เกิดผลงานชิ้นโบว์แดง
หลายครั้งที่ความทุ่มเทกับความสัมพันธ์
ไม่ส่งผลให้คนสองคนไปด้วยกันได้

หลายครั้งที่บทสนทนา
ไม่ได้ช่วยให้เราเข้าใจกันมากขึ้น
หลายครั้งที่คนแปลกหน้า
กลายเป็นคนที่เราพร้อมจะเจอหน้ามากที่สุด

หลายปีมานี้
หนอเคยมีช่วงที่สับสน
หลายปีก่อนหน้านั้น
หนอเคยมีช่วงที่คาดหวัง

หลายปีที่เราได้เติบโตขึ้น
และลองมองย้อนกลับไป
เราจะพบสิ่งที่อยากแก้ไข
หรืออย่างน้อยก็หวังว่าจะไม่พลาดซ้ำสอง

ในชีวิตของคนเรา
มีก้อนเมฆผ่านเข้ามากี่ก้อนกันนะ
ทำไมชีวิตของบางคน
ถึงได้ตกอยู่ในความมืดครึ้มแทบจะตลอดเวลา

ทำไมแสงสว่างถึงไม่อยู่กับใครนาน
ทำไมฟ้าถึงไม่ปลอดโปร่ง
ทำไมงานถึงไม่ราบรื่น
ทำไมเราถึงไปด้วยกันไม่ได้

คำถามในชีวิตคนเราคงวนเวียนอยู่เท่านี้
คำถามที่ไม่มีคำตอบ
คำถามที่ไม่มีใครตอบ
คำถามที่รู้คำตอบไปก็ไม่มีประโยชน์

ชีวิตมันคงเป็นแบบนี้เสมอสินะ
ทำอะไรมาดีแค่ไหน
ถ้าองค์ประกอบแวดล้อมไม่ลงตัว
มันก็ออกมาไม่ดี ไม่ได้อย่างที่หวังไว้

และการเติบโตขึ้นของคนคนหนึ่ง
ก็คงไม่ได้ต่างกับการถ่ายสกู๊ปครั้งนั้น
ที่ต้องมีเมฆบ้าง แดดบ้าง ลมบ้าง
แต่ทุกอย่างก็ต้องดำเนินไป

และการถ่ายภาพต่างๆ ในชีวิต
ก็คงไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้กล้องยังไง
ถ่ายภาพมุมไหน
หรือวางจุดสนใจไว้ที่อะไรเพียงอย่างเดียว

แต่ยังขึ้นอยู่กับว่า
จะอดทนกับการนั่งรอ
ให้เมฆก้อนนั้นผ่านไปได้
มากน้อยเท่าไรต่างหาก