เมื่อสักพักใหญ่มาแล้ว หนอต้องไปงานศพงานหนึ่ง
พ่อของพี่ที่ทำงานเพิ่งเสีย หลังป่วยหนักมาสักพัก
คนทำข่าว กว่าจะหาเวลาว่างเพื่อไปงานตรงกันยากมาก
แต่ก็ได้มาหนึ่งวัน แม้จะไม่ตรงกับวันที่บริษัทเป็นเจ้าภาพ
เคลียร์คิว-ปั่นงานกันเสร็จสรรพ ทุกคนก็มุ่งหน้าไปวัด
หลงทางเล็กน้อย เพราะไกลและแทบไม่มีใครเคยไปเลย
กว่าพวกเราจะไปถึง พระก็เกือบจะสวดพอดี
ตำรวจเต็มงานเลย ถึงเพิ่งรู้ว่าคืนนั้นเขาเป็นเจ้าภาพ
พอได้ที่นั่งก็กวาดตามองพวงหรีดหน้าศาลาสักหน่อย
พอจะเดาได้ว่าคุณพ่อสังกัดอะไร แล้วเราก็ฟังสวดไป
คืนนั้นหนอกลับบ้านด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย
เพราะอยู่ดึกเกินเวลาที่ต้องเข้านอนแล้ว
การรับหน้าที่ทำข่าวเช้าเป็นเรื่องกดดันเสมอ
นอกจากผิดเวลาไม่ได้แล้ว เวลานอนยังไม่ตรงกับคนหมู่มากอีก
หนอจำได้ว่าหันไปคุยกับนาย
บอกว่าหนอเป็นคนไม่ค่อยสุงสิงกับใคร
ไม่ค่อยไปงาน ทั้งงานมงคล-อวมงคล
คงเป็นข้อเสียของคนสันโดษ ที่ต้องเสียมารยาทอยู่ตลอด
นายตอบกลับมาว่าเขาก็ไม่ชอบไปงาน
โดยเฉพาะงานแต่งงาน
เพราะงานมงคลนี่เราจะไปหรือไม่ไป
คนจัดก็มีความสุข
แต่งานศพ หรืออะไรเทือกนี้
คนจัดต้องการกำลังใจ ยังไงก็ควรไป
นึกดูแล้วมันก็จริง
แทบทุกคนในงานพูดเป็นเสียงเดียวกัน
'วัดไกลมากเลย
นี่ถ้าไม่ใช่งานพี่...นะ ไม่มาหรอก'
งานแบบนี้คงเป็นงานวัดใจจริงๆ นั่นแล
แขกบางคนอาจมาเพราะผู้ตาย แต่ที่มาเพราะผู้อยู่ก็มีไม่น้อย
สำหรับงานวันสวด
หนอตกตะกอนได้ประมาณนี้
จากนั้นไม่กี่วันก็มีคนเปรยขึ้นว่า
วันเสาร์ ซึ่งเป็นวันเผา จะไปกันอีก
แน่นอนว่าไม่ได้ง่ายกับชีวิตขึ้นกว่าเดิม
เพราะพวกเราทุกคนที่จะไปต้องเข้าเวรกันทั้งนั้น
เท่ากับว่าต้องทำข่าวค่ำให้เสร็จตอนบ่ายแก่ๆ
แล้วออกเดินทางกันทันที
สุดท้ายก็ผิดแผน
เพราะต้องรอคนกลับจากรายงานสดนอกสถานที่
แถมมีแผ่นดินไหวภูเขาไฟระเบิดอะไรอีก
เลยตกหล่น เพราะต้องเกาะติดข่าว ไปกันไม่ครบ
แต่หนอก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้ไปนะ
แม้จะออกจากออฟฟิศกันเย็นมากก็ตาม
ฝนที่ตกกระหน่ำก็เป็นส่วนหนึ่ง
ที่ทำให้เดินทางล่าช้าออกไป
ซึ่งก็ได้ผลอย่างที่คาด
พวกเราไปไม่ทันวางดอกไม้จันทน์
สรุปว่าการเดินทางไปทั้งวันสวดวันเผา
ก็ไปถึงงานสายแบบไม่ผ่านมาตรฐานหนอสักครั้ง
นับว่าเป็นงานที่หนอเซ็งระดับหนึ่งทีเดียว
และนี่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งของนิสัยรักสันโดษของหนอก็ได้
มากคนก็มากความใช่ไหมเล่า
ต้องรอกันไปมา จะด้วยความเอื้อเฟื้อ มารยาท หรืออะไรก็ตาม
ท่ามกลางเสียงฝน เสียงพูดคุย และเสียงในหัวหนอเอง
ลูกสาวคนหนึ่งของผู้ตายก็ยกพานมาวางกลางโต๊ะ
เสียงที่ดังแบบโลหะกระทบไม้ไม่ได้น่าสนใจเท่ากับว่า
ในพานนั้นมีอะไรวางอยู่บ้าง
แล้วหนอก็หันไปเจอ 'หมวกกับกระบี่'
ตามที่เห็นในภาพด้านบน
หนอชะงักไปนิดหนึ่ง แบบหาสาเหตุไม่ได้
แล้วก็นึกได้ว่า... นี่คงเป็นงานแรก
เป็นงานแรกที่ผู้ตายรับราชการมีตำแหน่งด้วย
แล้วก็เป็นงานแรกที่ผู้ตาย 'เหลือ' อะไรไว้ด้วย
มันง่ายมากที่จะเดินเข้าและเดินออกจากพิธีต่างๆ
ที่เกิดขึ้นซ้ำเดิม แบบขอไปที แบบไม่รู้สึกอะไร
งานศพที่ปิดโลงแล้ว วางดอกไม้แล้ว ก็แล้วกัน
งานแต่งที่ใส่ซองแล้ว ถ่ายรูปกับบ่าวสาวแล้ว ก็แล้วกัน
หมวกกับกระบี่ในพานนั้นทำหน้าที่ของมันได้ดี
ทั้งกับผู้ตายเมื่อยังมีลมหายใจ
และกับหนอ แขกห่างๆ ของลูกสาวของโตของผู้ตาย
ให้นึกย้อนไปว่า เท่านี้นี่แลที่คนคนหนึ่งจะเหลืออยู่ในโลก
ซึ่งถ้าไม่ใช่ตำรวจ ทหาร ข้าราชการ
ที่มีพานทองรองรับอะไรสักอย่างหน้าศพแล้ว
คนทั่วไปอย่างเราๆ ท่านๆ
อย่างตัวหนอเอง หรือคุณที่กำลังอ่านอยู่...
จะเหลืออะไร?
คนเราจะเหลืออะไรไว้ให้คนข้างหลัง... ให้โลกบ้าง?
หนอว่าคนทุกคนควรสร้างหมวกกับกระบี่ของตัวเอง
ไม่ว่าจะใหญ่เล็ก ยศศักดิ์อะไร มีคุณค่าแค่ไหนก็ตาม
ขอเพียงแค่ในวันที่เราไม่อยู่แล้ว
ยังมีบางอย่างให้คนข้างหลังได้คิด ได้ตกตะกอน
ได้อยากเป็นคนดี
ได้อยากสร้างหมวกกับกระบี่ต่อไปบ้างก็น่าจะพอ
แค่นั้นก็คงพูดได้ว่า เราได้ใช้ชีวิตเต็มที่แล้ว
ได้อยู่จน 'คุ้ม' แล้วจริงๆ
แค่นั้นก็คงพูดได้ว่า เราได้ใช้ชีวิตเต็มที่แล้ว
ได้อยู่จน 'คุ้ม' แล้วจริงๆ
No comments:
Post a Comment