March 24, 2016

London Episode 1: War Horse

You said you have to see a play, what is it?
คุณจอห์น ผู้บริหารและไกด์อาสาของสุสานไฮเกต ถามขึ้น
หลังจากที่ฉันบอกไปว่ามาเที่ยวลอนดอนเพราะจะดูละครเวที

War Horse.
ฉันตอบ

But it's been on forever.
คุณจอห์นว่า

No, they were closing last week.
ฉันก็ยังจะชี้แจงต่อไป

แต่ก็นั่นสินะ ทำไมต้องดั้นด้นมาให้ลำบาก
ก็แค่ละครเวทีเรื่องเดียว มันจะดีอะไรหนักหนา

--------------------

เครื่องบินลำที่ฉันนั่งลงจอดที่ลอนดอนราว 7 โมงเช้าของวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม ที่อุณหภูมิเป็นเลขตัวเดียว แตกต่างกับอากาศที่เมืองไทยลิบลับ ฉันใช้เวลาต่อคิวเข้าประเทศนานนับชั่วโมง ก่อนจะหาที่ทางซื้อซิมโทรศัพท์และเติมเงินในบัตรโดยสารรถสาธารณะที่เพื่อนให้ยืมมาได้ในที่สุด

อย่างแรกที่แวบขึ้นมาในหัวคือ ลอนดอนเหมือนโซลอย่างน่าประหลาด ด้วยความที่ฉันเคยใช้ชีวิตอยู่ในโซลเกือบ 2 ปี การขึ้นรถไฟใต้ดินไปไหนมาไหนในลอนดอนจึงไม่ลำบากอย่างที่เคยวาดภาพไว้ แม้แต่การเดินทางเที่ยวแรกในครั้งนี้ จากสนามบินฮีทโธรว์ไปยังที่พัก ซึ่งก็ทำให้คิดไปได้ว่าอีกตลอดทริปที่เหลือนั้น การเดินทางคนเดียวคงไม่เหลือบ่ากว่าแรง คงไม่ต้องหลงทางมากมายนัก

แล้วก็เป็นจริงอย่างที่คิด เพราะลอนดอนมีแผนที่บอกทางกระจายอยู่ทุกถนน การเดินไปมาโดยไม่สื่อสารกับผู้คนรอบตัวเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ยกเว้นในช่วงที่ความอดทนมีจำกัด ถึงได้หยุดถามคนแถวนั้น ซึ่งก็น้อยครั้งมาก ทั้งที่ภาษาอังกฤษไม่ใช่ปัญหาสำหรับฉันเลย ปัญหาของฉันคือการเป็นคนเก็บตัว (Introvert) ต่างหาก

ลอนดอนเป็นที่ที่วัฒนธรรมละครเวทีน่าตื่นตะลึงมาก และการเดินผ่านโรงละครน้อยใหญ่จำนวนมากก็ทำให้ฉันรู้สึกอิจฉาผู้คนที่นี่อย่างมาก เขามีการแสดงอย่างนี้ดูตลอดปี ปีละหลายเรื่อง หลายโปรดักชัน นักแสดงมีชื่อและไร้ชื่อต่างพากันผลัดเปลี่ยนหน้าตาขึ้นแสดง เท่าที่รู้มา มันไม่ได้ทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักเท่าไรหรอก แล้วก็ไม่ใช่ทุกคนจะมีงาน มีเงิน ตลอดเวลาด้วย แต่เพราะนี่คือศิลปะ ศิลปะที่หล่อเลี้ยงจิตใจของทั้งผู้แสดงและผู้ชม

War Horse เป็นละครเวทีที่เล่นมานานมาก หลังจาก World Premiere ที่โรงละครแห่งชาติไปเมื่อปี 2007 ก็เล่นอยู่ราว 2 ปี แล้วย้ายมาเล่นในโรงละครย่าน West End นานถึง 8 ปี เปลี่ยนนักแสดงมาหลายรอบ วันที่ฉันได้มาดูนี่เป็นวันก่อนวันสุดท้ายแล้ว (ตั๋ววันสุดท้ายหายากจริง ๆ ชั้นล่างเต็มทั้งสองรอบนานแล้ว - วันเสาร์เป็นวันที่ทุกโรงละครทุกโปรดักชันเล่น 2 รอบ)

New London Theatre เป็นโรงละครที่หายากมาก หรืออาจจะยากแค่สำหรับคนแปลกถิ่นที่เพิ่งนั่งเครื่องบินลงถึงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าและไม่ชินกับอากาศหนาวก็เป็นได้ แต่ฉันใช้เวลาเดินหาสถานที่อยู่นานพอสมควร (นานผิดปกติ เทียบกับที่อื่น ๆ ที่ไป) เมื่อมาถึงก็รับตั๋วก่อนเลย...


ก่อนหน้านี้ ฉันเคยดูหนังที่ สตีเวน สปีลเบิร์ก ทำมาแล้ว และสงสัยมาตลอดว่าละครเวทีจะทำม้าออกมายังไงให้เทียบเท่าหรือให้ความรู้สึกได้เหมือนม้าจริง ๆ (ตามเรื่องมีม้ามากกว่า 1 ตัว) และฉากสงครามโลกครั้งใหญ่นั้น จะออกมาเป็นแบบไหนบนเวทีแคบ ๆ

วิวจากที่นั่ง เลือกดูได้ในเว็บไซต์ตอนซื้อตั๋ว

War Horse เปิดเรื่องมาที่ฟาร์มแห่งหนึ่ง ก่อนจะเล่าเรื่องนำไปสู่สงครามโลก การพลัดพราก และการพบพานสิ่งต่าง ๆ มากมาย ผ่านการเดินเรื่องของม้าชื่อ โจอี้ โดยมีเจ้าของเป็นเด็กหนุ่มชื่อ อัลเบิร์ต นาร์ราคอตต์ ดูคลิปตัวอย่าง... 



และคลิปนี้...


อัลเบิร์ตได้โจอี้มาตั้งแต่ยังเป็นม้าเด็ก พยายามฝึกให้เชื่องและใช้ทำงานในฟาร์ม จนวันหนึ่งเกิดสงครามขึ้น มีการรวบรวมไพร่พลทั้งคนและม้าไปรบ พ่อของอัลเบิร์ตขายโจอี้ให้กับนายทหารอังกฤษ เพื่อนำเงินมาใช้จ่าย

ครั้งนั้นกองทัพอังกฤษไม่รู้เลยว่าสมรภูมินี้จะยิ่งใหญ่และยาวนานกว่าที่คิดมาก ทุกคนที่ไปรบคาดว่าตนเองคงไปไม่กี่เดือน และอังกฤษก็จะชนะสงครามได้อย่างไม่ยากเย็น ขณะที่ความหวังเดียวของอัลเบิร์ตก็คือ เขาจะได้พบกับโจอี้อีกครั้งในเวลาไม่กี่เดือนเช่นกัน

อัลเบิร์ตให้อาหารโจอี้ ม้าเด็กที่เพิ่งได้มา


อัลเบิร์ตฝึกโจอี้ให้ทำงานในฟาร์ม

โจอี้เข้าร่วมกองทัพอังกฤษ

โจอี้และท็อปธอร์น ม้าของนายทหารอังกฤษอีกตัว


แต่สงครามไม่ใช่สิ่งที่คนเราจะกำหนดหรือคาดเดาได้โดยง่าย กองทัพอังกฤษประเมินคู่ต่อสู้ต่ำเกินไปในการเข้าโจมตีครั้งนั้น ทำให้ทหารและม้าศึกล้มตายจำนวนมาก ส่วนโจอี้ก็วิ่งเตลิดเข้าไปในเขตของศัตรู และตกเป็นม้าของกองทัพเยอรมันในที่สุด

โจอี้ตื่นตกใจเมื่อเจอรถถัง

โจอี้และท็อปธอร์น ท่ามกลางทหารเยอรมัน


อัลเบิร์ตได้รับแจ้งว่าเจ้าของใหม่ของโจอี้เสียชีวิตในสนามรบ จึงมุ่งมั่นที่จะออกตามม้าของเขาด้วยตัวเอง และตัดสินใจเข้าร่วมกองทัพเพื่อไปรบในแนวหน้า ระหว่างการเดินทางของเขากับการเดินทางของโจอี้ ทั้งสองได้เจอกันอีกครั้ง ขณะที่ทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บและถูกนำมารักษาตัวในบริเวณเดียวกัน

ที่เล่ามาทั้งหมดดูจะเป็นเรื่อง Happy Ending ธรรมดา ๆ แต่รายละเอียดปลีกย่อยทั้งในหนังและในละครเวทีทำออกมาได้ลึกซึ้งกินใจเหลือเกิน โดยเฉพาะฉากสงครามบนเวที ที่มีผู้คนล้มตาย และบรรยากาศ No Man's Land อันน่าหดหู่

ที่สุดแล้วต้องสรุปว่า War Horse เป็นละครเวทีที่มหัศจรรย์และน่าจดจำมาก ถือเป็นประสบการณ์การรับชมการแสดงที่ดีที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ หลังจากนี้ War Horse จะไปเล่นตามเมืองต่าง ๆ ทั่วอังกฤษในปี 2017 - 2018 ซึ่งก็น่าจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้ชมแล้วจริง ๆ (ยกเว้นการจัดฉายในโรงหนัง)

ถึงจะเป็นม้าหุ่นเชิด แต่ขึ้นขี่ได้จริงนะ

นักแสดงทุกคนใช้เวทีเล็ก ๆ ได้คุ้มค่ามาก
การเคลื่อนไหวของแต่ละตัวละครสละสลวย ไร้ที่ติ

--------------------

สำหรับฉันแล้ว ลอนดอนเป็นเมืองที่ไม่รู้จบ

ดูละครเวทีได้ไม่รู้จบ
เที่ยวได้ไม่รู้จบ
ค้นหาได้ไม่รู้จบ
และเล่าเรื่องได้ไม่รู้จบ

โปรดติดตามตอนต่อไป

6 comments:

  1. เราอยู่มา 1 ปี เรื่องนี้ไม่อยู่ในหัวว่าอยากดู เพราะมัวแต่ไปตามเก็บเรื่องอื่นๆที่เล่นไม่นานมาก แล้วก็เป็นมนุษย์ชอบความโปกฮา เลยข้ามๆเรื่องสงครามไปก่อน สุดท้ายก็เลยไม่ได้ดูค่ะ ภาพโปสเตอร์ละครเรื่องนี้มันมีอยู่ทั่วไป เป็นภาพชินตาของเราในลอนดอนเลย
    ความจริงในชีวิตคือ คนเรามักเสียใจในสิ่งที่ไม่ได้ทำ แล้วก็ไม่มีโอกาสจะได้ทำอีก...ตอนนี้อยากดูนะ แต่คิดว่าย้อนกลับไปตอนนั้น ก็คงไม่ดูอยู่ดีอ่ะ

    ปล. นิว ลอนดอน เธียเตอร์ไม่ได้หายาก เธอคงตื่นเต้นมากกว่า เลยใช้เวลาหานาน

    ReplyDelete
    Replies
    1. ไว้อาจจะได้กลับไปอีกช่วงที่มีทัวร์แล้วได้ดูเอาตอนนั้นก็ได้ค่ะ คงไม่ต้องถึงกับถ่อไปเพื่อการนี้ แต่ถ้ามีโอกาสก็อยากให้ได้ดู

      ป.ล. พอดีเดินจากเลสเตอร์สแควร์ เพื่อจะดูว่าโรงละครอื่น ๆ อยู่ที่ไหนบ้าง (วางแผนไปดู 6-7 เรื่อง) เลยยิ่งไปกันใหญ่เลยค่ะ 555 เจ็ตแหลกอีก ไม่ได้นอนบนเครื่องเท่าไร สมงสมองไม่ทำงานเลย

      Delete
  2. Replies
    1. ถ้ามีโอกาส ช่วงที่มีทัวร์ลองแวะไปดูนะคะ :)

      Delete
  3. อยากดูบ้างจัง

    ReplyDelete
    Replies
    1. อยากไปดูอีก ไปดูด้วยกัน :)

      Delete