July 29, 2013

ดาว . เคราะห์ . น้อย

คืนนี้ฟ้าเปิด
ไม่มีเมฆเลย
ดาวเต็มไปหมด
เกลื่อนกลาดท้องฟ้า

ฉันนอนดูดาว
พลางคิดไปว่า
ดาวทั้งหลายนั้น
ช่างน่าอิจฉา

แต่คนกับดาว
มีส่วนเหมือนกัน
บ้างหรือไม่นะ
ที่ตรงไหนล่ะ

บางคนโคจร
มาพบเจอกัน
แต่ไม่เคยได้
หมุนรอบกันและกัน

บางคนเป็นเหมือน
ก้อนอุกกาบาต
พุ่งชนอย่างแรง
เหลือไว้แค่รอยแผล

บางคนเป็นแค่
ดาวบริวาร
ไม่เคยได้คิด
ได้ฝันสักครั้ง

ดาวทั้งใหญ่น้อย
มีโชคชะตา
เป็นของตัวเอง
ดีและไม่ดี

แต่ก็แค่นั้น
ดาวพบ ดาวชน
ดาวเจ็บ ดาวเป็นแผล
แต่ดาวไม่โกหก

เทียบกับคนแล้ว
ดาวยังเคราะห์น้อย
กว่าคนเรานัก
คนมีเคราะห์มาก

มีเคราะห์ ฟาดเคราะห์
เคราะห์ดี เคราะห์ร้าย
คนเราต้องเจอ
อย่างไม่สิ้นสุด

บางคนในชีวิต
หมุนรอบตัวเรา
หมุนตามใจเรา
พุ่งชนเป็นแผล

คนทั้งใหญ่น้อย
มีโชคชะตา
เป็นของตัวเอง
ดีและไม่ดี

ยังดูดาวอยู่
ยังคงคิดอยู่
ว่าดาวที่มอง
เป็นดาวเคราะห์น้อย

July 16, 2013

ซ้ายฟ้า ขวาชมพู

ใกล้ถึงเวลานอนแล้ว
หนูน้อยยังคงเดินรอบบ้าน
พยายามตามหาอะไรสักอย่าง
ไม่มีทีท่าว่าจะเข้านอน

อัยจังกำถุงเท้าไว้แน่น ในมือข้างหนึ่ง
ทำหน้าทำตาเหมือนจะร้องไห้
แม่เห็นเป็นเช่นนั้น จึงได้ถามขึ้น
หนูอัยหาอะไรอยู่เหรอลูก?”

หนูน้อยคลี่สิ่งที่อยู่ในมือออกมา
มันเป็นถุงเท้าสีฟ้าพาสเทลข้างหนึ่ง
พลางตอบแม่ด้วยเสียงสั่นๆ
หนูอัยหาอีกข้างไม่เจอค่ะแม่

โธ่เอ๊ย หนูอัยก็ใส่คู่อื่นไปสิคะแม่พูด
แต่หนูอัยชอบคู่นี้นี่นา หนูอัยชอบสีฟ้า
แม่ไม่เข้าใจ ถุงเท้าใหม่ๆ ดีๆ มีเต็มบ้าน
ทำไมลูกสาวตัวน้อยถึงได้ติดถุงเท้าคู่นี้นัก

แค่ใส่นอนเอง ใส่คู่ไหนก็ได้ ไม่มีใครเห็นนี่คะ
แม่พูด พลางอุ้มหนูน้อยขึ้นมานั่งบนตัก
ถ้าหนูไม่อยากใส่คู่ใหม่ 2 ข้าง
ก็ใส่สีฟ้านี้ไว้ข้าง อีกสีไว้ข้าง ดีไหม?”

แต่เพื่อนที่โรงเรียนบอกหนูอัยว่า...
ถุงเท้า ถ้าขาดคู่ไป ถึงจะใส่กับข้างอื่นได้...
ก็ไม่มีวันสวยเหมือนคู่เดิม
อัยจังพูดขึ้น แม่ฟังลูกสาวแล้วอมยิ้ม

หนูอัยใส่ถุงเท้านอนทำไมล่ะลูก?”
ใส่แล้วอุ่นสบาย นอนหลับดีค่ะแม่
ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เห็นต้องใส่ถูกคู่เลยลูก
... สีไหนก็อุ่นสบายเหมือนกัน

อัยจังตัวน้อยหยุดร้องไห้แล้ว
แต่ยังคงทำหน้าทำตาเหมือนถูกขัดใจ
มันไม่สวยนะ มันไม่สวยสมบูรณ์แบบ
เด็กน้อยยังคงพูดเรื่องเดิม

ไม่ต้องสวยหรอกลูก สมบูรณ์แบบอะไรกัน
เอาอย่างนี้ไหม หนูอัยใส่อันที่หนูอัยชอบ
แล้วเดี๋ยวแม่เลือกให้อีกข้าง
แล้วแม่จะนอนกอดหนูอัยด้วย

อัยจังทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะรับคำ
บรรจงใส่ถุงเท้าสีฟ้าที่เท้าข้างซ้ายอย่างทะนุถนอม
แม่เลือกถุงเท้าสีชมพูสดมาให้ใส่คู่กัน
หนูน้อยเหมือนจะโยเย แต่เมื่อแม่นอนกอดก็ผล็อยหลับไป

คนเราแสวงหาความสมบูรณ์แบบ
แต่ว่าความสมบูรณ์แบบนั้นมีจริงหรือ
คนเราอ้างว่าต้องมีสิ่งนี้จึงจะกินอิ่มหลับสบาย
แต่พวกเขาตามหาสิ่งที่ไม่มีจริงอยู่หรือเปล่า

ความจริงแล้ว สิ่งที่เรามี
หรือสิ่งที่เราต้องการจะมีก็ตาม
เราไม่สามารถวัดได้หรอกว่าดีมากดีน้อย
สวย สวยปานกลาง สวยสมบูรณ์แบบ

คนเราอุปโลกน์ความสมบูรณ์แบบขึ้นมา
เพื่อยึดมั่นถือมั่นเอาไว้เอง
และเพื่อให้ภูมิใจที่ได้ยึดมั่นถือมั่นเอาไว้ด้วย
แม้ในยามที่ควรจะปล่อยวาง

โอ้... เธอช่างนครสวรรค์

บ่ายแก่ๆ ของวันอาทิตย์
สุดสัปดาห์กำลังจะหมดไป
หนอนั่งกินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านประจำอยู่กับพ่อ
ปลดปล่อยความทรงจำทั้งสัปดาห์ออกมาแบ่งปันกัน

วันศุกร์ที่ผ่านมา พ่อได้ไปบรรยายที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง
เป็นอีกครั้งที่พ่อได้กลับไปนครสวรรค์
พ่อเคยดูแลวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยที่นี่
และคุ้นเคยกับจังหวัดนี้พอสมควร

แต่ก็ไม่เคยคุ้นเคยมากพอที่จะพาหนอไปด้วย
หนอเคยไปวิทยาเขตที่จังหวัดอื่นมาแล้ว
แต่ที่นี่กลับไม่เคยไป หรืออาจเป็นเพราะ
หนอไม่เคยสนใจจะไปเองแต่แรกก็เป็นได้

มีอะไรเที่ยวบ้างเหรอพ่อ?” หนอถาม
ไปถึงเดี๋ยวก็มีให้เที่ยวเองล่ะพ่อตอบ
สรุปแล้ว หนอก็ไม่ได้มีแรงจูงใจให้อยากไปเที่ยวอยู่ดี
นึกไม่ออกว่าที่ที่พ่อเคยไปทำงานอยู่นั้นเป็นอย่างไร

จำตอนที่เกาหลีปิดเทอมได้ไหม?” พ่อถามขึ้น
คงหมายถึงตอนที่หนอบินกลับมาเมืองไทย
ช่วงนั้นมีการชุมนุมทางการเมืองปิดสนามบิน
หนอต้องย้าย Flight ด่วน บินลงที่เชียงใหม่แทน

ตอนนั้นลำบากเชียว กะทันหันไปหมด
พ่อหมายถึงตอนที่ต้องวางแผนขับรถไปเชียงใหม่
โดยแวะพักค้างคืนในที่ที่พ่อคุ้นเคย
... นครสวรรค์

จำไม่ได้แล้วว่าพวกเราขับกลับกันมาทางไหน
แต่หนอไม่ได้ค้างคืนที่นครสวรรค์เหมือนขาที่พ่อมา
พอกลับถึงกรุงเทพอย่างทุลักทุเล
การชุมนุมปิดสนามบินก็สลายตัว

ก๋วยเตี๋ยวชามแรกหมดไปแล้ว
หนอกับพ่อสั่งกันอีกคนละชาม
ความทรงจำเกี่ยวกับนครสวรรค์ของพ่อ
ยังคงถูกปลดปล่อยออกมา

นครสวรรค์นี่นะ...พ่อเริ่ม
... ไกลเกินกว่าจะไปเช้าเย็นกลับ
ใกล้เกินกว่าจะค้างคืน
แล้วพ่อก็สรุปสั้นๆ แบบนี้

ฟังดูเหมือนนครสวรรค์เป็นจุดเกรงใจ
หรืออะไรสักอย่างเทือกๆ นั้น
เป็นจุดไม่ใกล้ไม่ไกล
ที่เราใช้งานมันแบบไม่ค่อยจะเกรงใจ

เดินทางขึ้นเหนือหาที่แวะไม่ได้
แวะนครสวรรค์ไว้ก่อน
ถ้านครสวรรค์เป็นคนคงคิด
อะไรก็กู อะไรก็กู

ไกลเกินจะไปเช้าเย็นกลับใกล้เกินจะค้างคืน
อย่างนั้นหรือ?
ถ้านครสวรรค์เป็นคน
ขึ้นมาได้จริงๆ เล่า?

ในชีวิตเรามีคนแบบนครสวรรค์อยู่ไหมนะ
ไกลเกินกว่าจะเป็นแฟน
ใกล้เกินกว่าจะเป็นเพื่อน
เป็นจุดเกรงใจ ที่ไม่ค่อยมีใครเกรงใจ

นึกถึงใครไม่ได้ นึกถึงมันไว้ก่อน
เป็นได้ทุกอย่าง ไปได้ทุกที่
ยกเว้นงานรวมญาติ
อะไรก็กู อะไรก็กู

หนอว่า ชีวิตเราเต็มไปด้วยจุดเกรงใจ
สิ่งที่ครึ่งๆ กลางๆ คนที่ครึ่งๆ กลางๆ
บางครั้งสำคัญมาก บางครั้งไม่สำคัญเลย
และอีกหลายครั้งที่ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรกับมัน

ก๋วยเตี๋ยวอีกชามใกล้หมดแล้ว
หนอนั่งนึกถึงสถานที่ไม่ใกล้ไม่ไกล
นึกถึงคนไม่ใกล้ไม่ไกล
โอ้... เธอช่างนครสวรรค์

July 11, 2013

เงียบนั้นงาม

หนอเพิ่งได้มีโอกาสดูละครใบ้เป็นครั้งแรก
ในงาน Pantomime in Bangkok ที่ผ่านมา
สำหรับหนอ Stage Performance ใดใดก็น่าดูทั้งนั้น
ศาสตร์ทางการแสดง นำเสนออะไรมาก็น่าสนใจเสมอ
เพียงแต่ว่า เมื่อไม่มีเสียงเสียแล้ว
การแสดงจะน่าตื่นตาตื่นใจได้อย่างไร
สำหรับคนเคยฝึกหัดเป็น Dancer (หางแถว) อย่างหนอ
นึกภาพบรรยากาศล่วงหน้าไม่ออกเลยจริงๆ

ด้วยความที่ได้บัตรเข้าชมมา 2 ใบ
หนอจึงชวนหนึ่งในบุคคลที่ อินกับการแสดง
แบบ Stage Performance มากที่สุดในชีวิตไปด้วยกัน
อินพอๆ กัน... ไม่สิ... น้องเขาน่าจะอินมากกว่าเสียอีก
เป็นทั้ง Jazz Dancer ระดับเทพ
และยังเป็นทั้งครูสอน Piano ที่เก่งมากๆ ด้วย
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ซ่อนอยู่ในความเป็น นักรัฐศาสตร์
(สรุปว่า) หนอชวนน้องสายรหัสไปดูละครใบ้ด้วยกัน

หนอเดินเข้าสถานที่จัดงานโดยไม่มีความคาดหวัง
เพราะไม่รู้ว่าศาสตร์นี้เป็นอย่างไรแน่
ถึงอย่างนั้น ก็เป็นความไม่คาดหวังที่สบายใจสุดๆ
เพราะรู้ว่าคนที่ไปด้วย Appreciate ศิลปะทุกแขนง
ไม่มีทางที่เขาจะรู้สึกเบื่อ หรือรู้สึกเสียเที่ยวที่มากับหนอ
เอาเป็นว่า พี่น้องสองสิงห์ (ดำ) คู่นี้มาแบบ...
เด็กน้อย 2 คน เดินเข้าร้านขายของเล่นที่ไม่เคยเข้า
หนอมั่นใจว่า เราสองคนจะดูทุก Movement อย่างตั้งใจ

การแสดงเริ่มขึ้นด้วยโชว์ที่ค่อนข้างเอะอะ
ลบภาพความ ใบ้ที่มีในหัวไปหมดสิ้น
Cru Cru Cirque นักแสดง 3 คน จากญี่ปุ่น
เป็นคณะแรกที่ขึ้นมาโชว์สไตล์ ละครสัตว์
แน่นอนว่าตัวนักแสดงไม่ได้พูดอะไรสักคำ
แต่ดนตรีประกอบก็ทำให้ผู้ชมทั้งหมด อิน
กับความเป็นละครสัตว์ได้ไม่ยาก

ต่อด้วยโชว์เดี่ยวจากหนุ่มเกาหลีโก แจ-กยอง
ที่เป็นละครใบ้แท้ ใบ้มาก เงียบกริบ
และดูแวบแรกเหมือนจะมีพื้นฐานการเต้นด้วย
ดูเคลื่อนไหวข้อต่อร่างกายคล้ายไปทาง Dancer
โชว์นี้กระเดียดไปทางอี๋ๆ หลอนๆ
เป็นเรื่องที่ว่าด้วยเส้นผม มีเส้นผมอยู่ทุกหนทุกแห่ง
เป็นเรื่องที่ล้อกันระหว่างความฝันกับความจริง
นับว่า Plot มาได้สร้างสรรค์ดี แต่ไม่เพลิดเพลินนัก

โชว์ต่อมาเป็นของคุณคาสุกิ ยาโนะ
นักแสดงญี่ปุ่น (ที่พูดไทยได้)
มาพร้อมเรื่องเล่าชวนหัว
เมื่อซามูไรหลงยุคมาขึ้นรถไฟฟ้า
และเมื่อซามูไรหลงมาทำ “Subway”
ซึ่งในที่นี้หมายถึงร้านแซนด์วิชซับเวย์
คุณคาสุกิเรียกเสียงฮาได้อย่างต่อเนื่อง
ดูเขาเข้าใจ Mindset ของคนไทยมากทีเดียว

ปิดท้ายช่วงแรกของการแสดงด้วยโชว์ของไทย
จัดมุกตลกมาแน่นจนแทบจำประเด็นตามไม่ทัน
เป็นความแน่นที่ผ่านการคิดมาอย่างดี
Babymime เป็นคณะที่แสดงได้ฮาที่สุด
เข้ากับการเสพ Stage Performance ของคนไทยที่สุด
หนออยากเรียกว่าเป็นโชว์ที่ ขำ แน่น ใหญ่ กว้าง เยอะ
คือมัน “Rich” มาก แต่ก็ไม่เชิงว่าจะละเมียดเหมือนกาแฟดีๆ
มันเหมือนโกโก้เข้มๆ ที่อัดก๊าซให้ซ่าเสียมากกว่า

หลังจากพัก 15 นาที การแสดงช่วงหลังก็เริ่มขึ้น
โดยคณะคานิคามะ (Kanikama) จากญี่ปุ่น
คุณโคจิมายะ มันสุเกะ และคุณฮอนดะ ไอยะ
นำการคว้านท้องของนักรบญี่ปุ่นมาแซว
แบบเครียดแต่ขำ ซึ่งก็ขำกันลั่นทีเดียว
เป็นขำในแบบที่แตกต่างจากมุกไทยๆ
โดยส่วนตัว หนอชอบโชว์นี้ที่สุด
ชอบแบบไม่มีเหตุผลเท่าไร ก็ของเขาดีจริงๆ

ปิดท้ายด้วยโชว์ที่คาดว่าน่าจะเด็ดที่สุด
แล้วก็เป็นไปตามคาด
เพราะมันซับซ้อนและส่งอารมณ์ให้ผู้ชมได้ดีมากๆ
เป็นโชว์ที่เกือบจะใบ้แท้แล้วเชียว
คือนักแสดงไม่เปล่งเสียงสักแอะ
แต่มีดนตรีประกอบ เล่นซ้ำวนไปวนมา
เป็นดนตรีที่ยาวมากด้วย
เพราะการแสดงองก์นี้กินเวลานาน

โชว์ที่ว่านี้ชื่อว่า สาเกโดยคุณยามาดะ โทชิ
เป็นเรื่องของตัวเขาเอง
เกี่ยวกับความผูกพันของคุณพ่อขี้เมา
และลูกชายที่ฝันอยากเล่นเบสบอล
นี่คือผลงานที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก
คุณพ่อผู้ล่วงลับไปของตัวเขาเอง
ซึ่งฉากที่คุณพ่อเสียก็ถูกบอกเล่า
ออกมาได้อย่างกระชากอารมณ์

การแสดงทั้งหมดจบลงไป
ขณะที่สองศรีพี่น้องนั่งน้ำตานอง
ทำไมการแสดงเงียบๆ มันถึงมีพลังขนาดนี้
ความเงียบมีพลัง ทำให้หัวเราะ ทำให้ร้องไห้
เราปล่อยความรู้สึกให้ไหลผ่านอากาศรอบข้าง
จากนั้นก็ให้ความเงียบทำหน้าที่ของมัน
เมื่อความเงียบ เป็นความงาม
เงียบ...นั้นงาม

July 9, 2013

WHY ว้าวุ่น

คนเราเริ่ม เดินเตร่กันตั้งแต่เมื่อไรนะ
ตั้งแต่ช่วงไหนของชีวิต
หนอจำไม่ได้แน่ชัด
ว่าเป็นตอน ป.5 – ป.6 หรือเปล่า
ตอนที่หนอ เดินสยามครั้งแรก
และแน่นอนว่ามีผู้ปกครองไปด้วย
จะพ่อ แม่ หรือโหน่ง (พี่ชาย) ก็นั่นล่ะ ผลัดกัน
แต่เรื่องจะไปเดินเตร่กันเองกับเพื่อนๆ นี่ไม่มี

วันก่อนหนอเพิ่งไปเดินสยาม
ซึ่งก็เป็นปกติอยู่แล้ว
ที่จะแตกต่างออกไปบ้าง
ก็คือวันนั้นหนอต้องเดินฆ่าเวลา
ไม่ได้มีอะไรอยากดูอยากซื้อ
เรียกได้ว่าเป็นการไป เดินเตร่ของแท้
สิ่งรอบตัวดูน่าสนใจขึ้นมาทันที
เวลาเราไม่มีอะไรทำ

น้องผู้ชายผู้หญิงข้างหน้าทะเลาะกัน
อายุน่าจะสัก 17-18 ได้
สิ่งมีชีวิตที่หนอก็เคยเป็น
มนุษย์อายุ 17 ปี
การมองดูพวกเขาเหมือนการได้มองดูอดีต
หัวข้อการทะเลาะดูจะไร้สาระ
ประเภทที่ว่า เดี๋ยวจะไปไหนกันต่อ
เมื่อก่อนเราไร้สาระแบบนี้ไหมนะ

มนุษย์ใน วัยว้าวุ่นนี่ดูจะมีปัญหาให้แก้ตลอดเวลา
ปัญหาที่พอถึงจุดหนึ่งในชีวิตมันจะไม่เป็นปัญหาแล้ว
นั่นเพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวประเด็นปัญหา
แต่มันอยู่ที่ วัยที่มัน ว้าวุ่นเหลือเกิน
อะไรๆ ก็เก็บมาว้ามาวุ่นได้หมด
จนวันที่คนคนหนึ่งข้ามผ่านวัยนั้นมาได้
ข้ามผ่านความว้าวุ่นนั้นมาได้
เรื่องยิบย่อยก็จะไม่กลายมาเป็นปัญหาอีก

หนอมองความไร้สาระรอบตัวอย่างนึกสนุก
บางเรื่องที่เราเคยจะเป็นจะตายให้ได้ตอนนั้น
เป็นแค่เรื่องไม่เป็นเรื่อง
น่าละอายทุกครั้งที่นึกถึง
ละอายที่เราเป็นเด็ก
บางอย่างเราคิดเราทำไปได้อย่างไร ทำไปทำไม
สิ่งที่เราเคยเก็บมาว้าวุ่น เราว้าวุ่นไปทำไม
มันเป็นเพราะวัยใช่ไหม ทุกคนต้องเคยเป็นใช่ไหม

ในแง่หนึ่ง การมองดูความไร้สาระนั้นก็เพลิดเพลินดี
การได้รู้ว่าครั้งหนึ่งเราก็เคยไร้สาระนั้นเพลิดเพลินดี
การได้รู้ว่ามันเป็นแค่อดีตของเรานั้นเพลิดเพลินดี
การได้รู้ว่าเด็ก17-18 ทุกคนเป็นแบบนี้นั้นเพลิดเพลินดี
ปัจจุบันเราข้ามผ่านความไร้สาระนั้นมาได้แล้ว
และเติบโตมาถึงจุดที่เข้าใจผู้ใหญ่ที่เคยมองเราวันนั้น
จุดที่สามารถมองดูความไร้สาระนั้นอย่างเต็มตา
แม้จะต้องใช้เวลาถึง 10 ปี เพื่อที่จะมองให้เห็นในมุมนี้

คงมีอีกหลายเรื่องในชีวิตที่เหมือนกับการเดินสยาม
ที่เราต้องรอให้เวลาผ่านไป
ถึงจะสามารถมองสิ่งที่ทำอยู่วันนี้ได้อย่างชัดเจน
มองแล้ว เห็นว่าเราทำอะไร อย่างไร ทำไม
และที่ทำไปนั้นถูกหรือผิด
ถ้าผิด ผิดตรงไหน อย่างไร
สิ่งหนึ่งที่น่ายินดีกับการมองเห็นความผิดในอดีต
ก็คือการได้รู้ว่าวันนี้เราข้ามผ่านความผิดนั้นมาได้แล้ว

ทุกวันนี้...
หนอคงได้แต่มองเด็กที่เดินสยามแบบคนอายุ 27
มันอะไรกันหนักหนานะ
จะว้าวุ่นกันไปทำไม

July 1, 2013

เมฆไม่ติดฟ้า

ท้องฟ้าช่างกว้างไกล
ก้อนเมฆลอยสูงลิบ
เมฆบนฟ้าเคลื่อนไปมา
สุดที่จะเอื้อมถึง
เมฆไม่ได้อยู่กับเรา
ไม่มีทางที่จะได้มาครอบครอง

ความจริงแล้วท้องฟ้าคืออะไร
ฟ้าที่เรามองเห็นอยู่
ก็คือห้วงอวกาศเวิ้งว้าง
กินอาณาเขตไปไม่สิ้นสุด
ฟ้าอยู่ตรงไหนกัน
ฟ้าไม่มีจริง

ความจริงแล้วก้อนเมฆคืออะไร
เมฆที่เรามองเห็น
ก็คือละอองน้ำที่รวมตัวกันอยู่
ในชั้นบรรยากาศ
เมฆไม่ได้อยู่กับฟ้า
แต่อยู่กับโลกเรานี่เอง

เมฆอยู่ใกล้กับดินมากกว่าฟ้าเสียอีก
เมฆเป็นเมฆของโลก
และเราชาวโลกครอบครองมันมาตลอด
แม้ว่าสุดที่จะเอื้อมถึง
แต่เมฆก็ยังคงอยู่กับเรา
เราครอบครองเมฆในระยะห่าง

หลายครั้งที่เราเข้าใจไปว่า
บางสิ่งบางอย่างไม่ใช่ของเรา
มันอยู่ไกลแสนไกล
บางครั้งในหลายครั้งที่ว่า
เราเข้าใจผิดไปเอง
ไม่สามารถเอื้อมถึง ใช่ว่าจะไม่ได้ครอบครอง

ของบางอย่างมีระยะของมัน
มีข้อจำกัดของมัน
อย่างเช่นเมฆ ที่ต้องลอยอยู่อย่างนั้น
แต่ก็ไม่ได้หนีเราไปไหน
แค่เพียงเรามองขึ้นไป
ก็จะเจอมันอยู่ที่เดิม

คนบางคนก็เป็นเช่นนี้
เป็นเหมือนกับเมฆบนท้องฟ้า
เราครอบครองได้เพียงแค่สายตา
แม้เจ้าของที่แท้จะไม่มีจริง
คนบางคนมีระยะของเขา
มีข้อจำกัดของเขา


เมฆก้อนนี้ไม่ติดฟ้า... แต่ก็ไม่ลงมาสู่ดิน