หนอเพิ่งได้มีโอกาสดูละครใบ้เป็นครั้งแรก
ในงาน
Pantomime in Bangkok ที่ผ่านมา
สำหรับหนอ
Stage
Performance ใดใดก็น่าดูทั้งนั้น
ศาสตร์ทางการแสดง
นำเสนออะไรมาก็น่าสนใจเสมอ
เพียงแต่ว่า
เมื่อไม่มีเสียงเสียแล้ว
การแสดงจะน่าตื่นตาตื่นใจได้อย่างไร
สำหรับคนเคยฝึกหัดเป็น
Dancer (หางแถว) อย่างหนอ
นึกภาพบรรยากาศล่วงหน้าไม่ออกเลยจริงๆ
ด้วยความที่ได้บัตรเข้าชมมา
2 ใบ
หนอจึงชวนหนึ่งในบุคคลที่
“อิน”
กับการแสดง
แบบ
Stage
Performance มากที่สุดในชีวิตไปด้วยกัน
อินพอๆ
กัน... ไม่สิ... น้องเขาน่าจะอินมากกว่าเสียอีก
เป็นทั้ง
Jazz Dancer ระดับเทพ
และยังเป็นทั้งครูสอน
Piano ที่เก่งมากๆ ด้วย
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ซ่อนอยู่ในความเป็น
“นักรัฐศาสตร์”
(สรุปว่า)
หนอชวนน้องสายรหัสไปดูละครใบ้ด้วยกัน
หนอเดินเข้าสถานที่จัดงานโดยไม่มีความคาดหวัง
เพราะไม่รู้ว่าศาสตร์นี้เป็นอย่างไรแน่
ถึงอย่างนั้น
ก็เป็นความไม่คาดหวังที่สบายใจสุดๆ
เพราะรู้ว่าคนที่ไปด้วย
Appreciate ศิลปะทุกแขนง
ไม่มีทางที่เขาจะรู้สึกเบื่อ
หรือรู้สึกเสียเที่ยวที่มากับหนอ
เอาเป็นว่า
พี่น้องสองสิงห์ (ดำ) คู่นี้มาแบบ...
“เด็กน้อย 2 คน เดินเข้าร้านขายของเล่นที่ไม่เคยเข้า”
หนอมั่นใจว่า
เราสองคนจะดูทุก Movement
อย่างตั้งใจ
การแสดงเริ่มขึ้นด้วยโชว์ที่ค่อนข้างเอะอะ
ลบภาพความ
“ใบ้”
ที่มีในหัวไปหมดสิ้น
Cru
Cru Cirque นักแสดง 3 คน จากญี่ปุ่น
เป็นคณะแรกที่ขึ้นมาโชว์สไตล์
“ละครสัตว์”
แน่นอนว่าตัวนักแสดงไม่ได้พูดอะไรสักคำ
แต่ดนตรีประกอบก็ทำให้ผู้ชมทั้งหมด
“อิน”
กับความเป็นละครสัตว์ได้ไม่ยาก
ต่อด้วยโชว์เดี่ยวจากหนุ่มเกาหลี “โก แจ-กยอง”
ที่เป็นละครใบ้แท้
ใบ้มาก เงียบกริบ
และดูแวบแรกเหมือนจะมีพื้นฐานการเต้นด้วย
ดูเคลื่อนไหวข้อต่อร่างกายคล้ายไปทาง
Dancer
โชว์นี้กระเดียดไปทางอี๋ๆ
หลอนๆ
เป็นเรื่องที่ว่าด้วยเส้นผม
มีเส้นผมอยู่ทุกหนทุกแห่ง
เป็นเรื่องที่ล้อกันระหว่างความฝันกับความจริง
นับว่า
Plot มาได้สร้างสรรค์ดี แต่ไม่เพลิดเพลินนัก
โชว์ต่อมาเป็นของคุณคาสุกิ ยาโนะ
นักแสดงญี่ปุ่น
(ที่พูดไทยได้)
มาพร้อมเรื่องเล่าชวนหัว
เมื่อซามูไรหลงยุคมาขึ้นรถไฟฟ้า
และเมื่อซามูไรหลงมาทำ
“Subway”
ซึ่งในที่นี้หมายถึงร้านแซนด์วิชซับเวย์
คุณคาสุกิเรียกเสียงฮาได้อย่างต่อเนื่อง
ดูเขาเข้าใจ
Mindset ของคนไทยมากทีเดียว
ปิดท้ายช่วงแรกของการแสดงด้วยโชว์ของไทย
จัดมุกตลกมาแน่นจนแทบจำประเด็นตามไม่ทัน
เป็นความแน่นที่ผ่านการคิดมาอย่างดี
Babymime เป็นคณะที่แสดงได้ฮาที่สุด
เข้ากับการเสพ
Stage
Performance ของคนไทยที่สุด
หนออยากเรียกว่าเป็นโชว์ที่
ขำ แน่น ใหญ่ กว้าง เยอะ
คือมัน
“Rich” มาก แต่ก็ไม่เชิงว่าจะละเมียดเหมือนกาแฟดีๆ
มันเหมือนโกโก้เข้มๆ
ที่อัดก๊าซให้ซ่าเสียมากกว่า
หลังจากพัก
15 นาที การแสดงช่วงหลังก็เริ่มขึ้น
โดยคณะคานิคามะ
(Kanikama) จากญี่ปุ่น
คุณโคจิมายะ มันสุเกะ
และคุณฮอนดะ ไอยะ
นำการคว้านท้องของนักรบญี่ปุ่นมาแซว
แบบเครียดแต่ขำ
ซึ่งก็ขำกันลั่นทีเดียว
เป็นขำในแบบที่แตกต่างจากมุกไทยๆ
โดยส่วนตัว
หนอชอบโชว์นี้ที่สุด
ชอบแบบไม่มีเหตุผลเท่าไร
ก็ของเขาดีจริงๆ
ปิดท้ายด้วยโชว์ที่คาดว่าน่าจะเด็ดที่สุด
แล้วก็เป็นไปตามคาด
เพราะมันซับซ้อนและส่งอารมณ์ให้ผู้ชมได้ดีมากๆ
เป็นโชว์ที่เกือบจะใบ้แท้แล้วเชียว
คือนักแสดงไม่เปล่งเสียงสักแอะ
แต่มีดนตรีประกอบ
เล่นซ้ำวนไปวนมา
เป็นดนตรีที่ยาวมากด้วย
เพราะการแสดงองก์นี้กินเวลานาน
โชว์ที่ว่านี้ชื่อว่า
“สาเก”
โดยคุณยามาดะ
โทชิ
เป็นเรื่องของตัวเขาเอง
เกี่ยวกับความผูกพันของคุณพ่อขี้เมา
และลูกชายที่ฝันอยากเล่นเบสบอล
นี่คือผลงานที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก
คุณพ่อผู้ล่วงลับไปของตัวเขาเอง
ซึ่งฉากที่คุณพ่อเสียก็ถูกบอกเล่า
ออกมาได้อย่างกระชากอารมณ์
การแสดงทั้งหมดจบลงไป
ขณะที่สองศรีพี่น้องนั่งน้ำตานอง
ทำไมการแสดงเงียบๆ
มันถึงมีพลังขนาดนี้
ความเงียบมีพลัง
ทำให้หัวเราะ ทำให้ร้องไห้
เราปล่อยความรู้สึกให้ไหลผ่านอากาศรอบข้าง
จากนั้นก็ให้ความเงียบทำหน้าที่ของมัน
เมื่อความเงียบ
เป็นความงาม
เงียบ...นั้นงาม