May 17, 2016

London Episode 14: The Lady at McDonald's


หนอคิดอยู่นานพอสมควรว่าจะเขียนบล๊อกนี้ดีหรือเปล่า และถ้าเขียนจะออกมาในรูปแบบไหน เพราะมันไม่มีแนวทางดี ๆ ที่จะบอกเล่าเรื่องนี้ได้เลย ทั้งที่มันก็ไม่ได้น่าอับอายหรือเป็นความลับขนาดนั้น เป็นแค่ความเข้าใจที่ไม่ตรงกันมากกว่า

เรื่องนี้เกิดขึ้นในวันแรก ๆ ที่หนอไปถึงลอนดอน ด้วยความที่อากาศเย็นและลมค่อนข้างแรง การรอคอยให้ละครเวทีเริ่มต้นจึงเป็นสิ่งที่ทรมานพอดู โรงละครก็คับแคบ ไม่มีพื้นที่ให้แกร่วรอ แถมย่านนั้นยังไม่มีอะไรให้เดินเตร่อีกต่างหาก จะข้ามฝั่งไปย่านท่องเที่ยวก็ลำบากเพราะรองเท้ากัด คือไดเลมมาเยอะน่ะ เอาตรง ๆ

คิดกลับไปกลับมาอยู่นาน สุดท้ายก็เดินเข้าแมคโดนัลด์ รองท้องสักหน่อย ความพังอย่างแรกคือเดินเข้าไปแล้วพบว่าคนเยอะมาก คิวก็ยาว โต๊ะก็เต็ม แต่เอาวะ ต้องกินอะไรหน่อยแหละ สักพักคิวเริ่มไหลเร็วและหนอก็ได้โอกาสสั่ง แล้วความพังอย่างถัดมาก็เริ่มต้นขึ้น

"มีอะไรที่ไม่ใช่กาแฟและไม่ใช่น้ำอัดลมไหมคะ?" หนอถามไปด้วยสำเนียงอเมริกันแบบไม่ Native ซึ่งเท่าที่ผ่านก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร ดูทุกคนจะฟังรู้เรื่อง แต่... เธอคนนี้ เธอที่อยู่ตรงหน้าหนอนี้กลับชะงักและทำหน้าเหมือนสงสัยอะไระสักอย่าง

"มีเมนูเครื่องดื่มที่ไม่ใช่กาแฟและไม่ใช่น้ำอัดลมไหมคะ?" หนอถามย้ำ เธอคนที่ว่ายังคงทำหน้างง ๆ แล้วตอบมาว่า "ฉันไม่เข้าใจที่คุณพูดเลย"

ด้วยความที่ไม่อยากให้คนข้างหลังต้องรอคิวนาน สัญชาตญาณการเอาตัวรอดสมัยอยู่เกาหลีกลับเข้าร่างทันที แทนที่หนอจะสั่งซ้ำเฉย ๆ หนอยกแขนขึ้นมาไขว้ X พร้อมพูดไปด้วย เพื่อให้คนฟังรู้ว่า "กาแฟ" เนี่ยไม่เอา "น้ำอัดลม" ก็ไม่เอา

ภาพรวมดูเหมือนคนบ้ามาก แต่เอาเถอะ สั่ง ๆ ไป ไม่ได้จะ "คีป-ลุค" หรือคิดว่าต้องดูดีอยู่แล้ว

"อ่าาา เยส" นางทำหน้าเหมือนเข้าใจ "วี แฮฟ คาปุชชีโน่... ลาทเท่..." (อันนี้คือพยายามสะกดตามเสียง ห้ามด่า) โอ๊ย ไม่ซี่ยยย์ (อันนี้คือคิดในใจ) "โน่ว โน่ว โน่ววว" หนอตอบกลับไปแบบเซ็ง ๆ

ระหว่างนั้นหูซ้ายก็ได้ยินชะนียุโรปตะวันออกสั่งอาหารด้วยสำเนียงที่ฟังยากยิ่งกว่า แต่กลับไม่มีปัญหาใด ๆ  โลกแม่งไม่ยุติธรรมว่ะ จุดนั้นไม่รู้ต้องทำสำเนียงยุโรปตะวันออกด้วยไหมถึงจะได้กิน

สุดท้ายคุณที่เคาน์เตอร์ก็ลากอีเพื่อนข้าง ๆ (ที่เพิ่งรับออเดอร์ต่างด้าวที่ว่านั้นแหละ) มาฟังหนอพูด ซึ่งหนอก็พูดประโยคเดิม แล้วนางก็เข้าใจทันที "เรามีมิลก์เชกและสมูธตีค่ะ" ก็แค่นั้นแหละ โธ่เอ๊ย "เอามิลก์เชกค่ะ สตรอว์เบอร์รีมีใช่ไหม?"

"มีค่ะ ได้ค่ะ มิลก์เชกสตรอว์เบอร์รี 1 ที่นะคะ" คุณพนักงานหมายเลข 2 กดออเดอร์อย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะหันไปคุยกับในครัวแล้วหันมาบอกหนอว่า "คุณคะ นมหมดค่ะ เปลี่ยนเป็นสมูธตีได้ไหม?"

เออ เอามาเถอะวะ "ได้ค่ะ" หนอตอบไปแบบรำคาญ ๆ จากนั้นก็กระเถิบไปยืนด้านข้าง ให้คนข้างหลังสั่ง

พอคุณพนักงานทั้งสองหันไปจัดแจงอาหารด้านหลัง พนักงานหมายเลข 3 ก็เข้ามารับหน้าที่แทน คราวนี้เป็นผู้ชาย คนที่สั่งอาหารต่อจากหนอได้สั่งกับคนนี้ เธอมากับสามีและลูกเล็ก 1 คน เธอสั่งมิลก์เชก

เดาสิ... เดาว่ามีอะไรเกิดขึ้นต่อ...

เธอได้กินมิลก์เชกว่ะเฮ้ย

นี่พิมพ์มาถึงตรงนี้ไม่อยากเรียบเรียงอะไรมากมายแล้วนะ คือเป็นโมเมนต์ที่ว็อตเดอะฟัคมาก ยืนรอไปก็เบะปากไป ขี้เกียจจะทำอะไรกับเหตุการณ์นี้แล้ว ยอมแพ้จริงจัง

หนอรับอาหารมาแล้วรีบลงไปหาที่นั่งด้านล่าง โชคดีมากที่มีคนลุกไปพอดี ถึงได้มีที่ว่าง และเพราะเป็นโต๊ะใหญ่สำหรับ 4 คน คุณผู้หญิงที่สั่งมิลก์เชกแล้วได้กินจึงต้องมานั่งโต๊ะเดียวกันกับหนอ ลูกสาวเธอน่ารักมาก หนอรีบกินรีบไป เขาสามคนจะได้ใช้พื้นที่แบบสบาย ๆ

ขณะที่หนอกำลังลุกออกไป น้องคนนั้นวางของที่กินอยู่แล้วหันมาบ๊ายบายหนออย่างน่าเอ็นดู "บายยย" หนอตอบไปด้วยสำเนียงอเมริกันแบบไม่ Native ที่คุณผู้หญิงที่รับออเดอร์ฟังไม่รู้เรื่อง (แต่ดูเหมือนคนอื่น ๆ จะฟังรู้เรื่องหมด) พร้อมกับยิ้มกว้าง อย่างน้อยวันนี้ก็มีเรื่องให้ยิ้มล่ะว้า (เสียงในหัวหนอมองโลกในแง่ดีกว่าตัวตนที่แท้จริงของหนอมาก ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เถียงกันเองอยู่บ่อยครั้ง)

หนอเดินกลับโรงละครแบบไร้ความมั่นใจ ทั้งหมดนั่นมันคืออะไรกันแน่วะ ดวงไม่ดี เจอเจ้ากรรมนายเวร ก้าวเท้าออกจากห้องผิดข้าง หรือฮวงจุ้ยไม่ถูกโฉลก คือมันต้องลี้ลับประมาณนี้แหละ เพราะหนอหาเหตุผลที่ฟังขึ้นให้ตัวเองไม่ได้เลย

ในโรงละครทุกที่จะมีบาร์ ขายพวกขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่ม บาร์เหล่านี้จะเปิดก่อนละครเล่นราว  1 ชั่วโมง หนอเดินเข้าไปซื้อน้ำขวดหนึ่ง พอหันหลังกลับออกมาแล้วก็ตัดสินใจหันกลับไปถามพนักงานอีกรอบ "คุณ ๆ ... คุณเข้าใจที่ฉันพูดไหม?" ใช่ คำถามโง่มาก แต่ขอสักหน่อยเหอะ

"เข้าใจสิฮะ มีอะไรเหรอ?" คุณผู้ชายสำเนียงอเมริกันตอบ ส่วนคุณผู้หญิงชาวอังกฤษอีกคนยืนพยักหน้าอยู่ข้าง ๆ แบบงง ๆ

"แมคโดนัลด์ฝั่งตรงข้ามไม่เข้าใจที่ฉันพูดแหละ แย่จัง"

"โอ่ย แมคโดนัลด์ก็อย่างนี้ตลอดแหละฮะ เกิดกับลูกค้าทุกคน อย่าไปใส่ใจเลย อย่าให้เรื่องแย่ ๆ แบบนี้มาทำให้หงุดหงิด"

"อ้าว อย่างนั้นเหรอคะ ขอบคุณค่ะ" เป็นอย่างนี้ตลอดเลยเหรอ นี่คือปกติเหรอ แย่ว่ะ

หนอเดินออกจากบาร์มาแบบสับสนหน่อย ๆ ในเมืองที่มีความหลากหลายอย่างลอนดอนนี่... การทรีตลูกค้าแบบนี้มันกลายเป็นเรื่องปกติได้ด้วยเหรอ? นี่แมคโดนัลด์นะแก... ฉันไม่ได้พูดไม่รู้เรื่องด้วยนะแก...

คืนนั้นหนอดูละครเสร็จแล้วกลับห้องพักเลย หมดวันแล้วก็ควรนอน ๆ ให้มันจบ ๆ ไป รุ่งขึ้นอารมณ์ดีขึ้นแล้วก็คงหายกัน หรือไม่ ถึงตอนนั้นก็คงมีสติมากขึ้น

เป็นอย่างนั้นจริง ๆ แหละ หนอตื่นขึ้นอาบน้ำแต่งตัวแล้วออกไปตะลุยพิพิธภัณฑ์ได้อย่างเบาใจ จนกลับมาที่ห้องพักในตอนค่ำถึงได้ลองนั่งคิดทบทวนอย่างเป็นจริงเป็นจังว่าควรจะทำอะไรสักอย่างไหม

ว่าแล้วหนอก็เข้าเว็บไซต์แมคโดนัลด์ยูเค กดร้องเรียน ย่อเรื่องราวทั้งหมดให้อยู่ภายในจำนวนอักษรที่เขากำหนดและกด "ส่ง" ด้วยความรู้สึกว่าไม่อยากให้ใครโดนแบบนี้อีก ถึงตอนนี้แมคโดนัลด์จะอ่านหรือไม่อ่าน จะสนใจหรือไม่สนใจ หนอไม่รับรู้แล้วล่ะ หนอทำส่วนที่คิดว่าควรทำไปหมดแล้ว

วันถัดมาหนอได้อีเมลยาวเหยียดจากผู้รับผิดชอบ นางขอโทษขอโพยเสียจนคนอ่านแทบรู้สึกผิดที่ดันไปร้องเรียน เธอคนที่ตอบนี่ย้ำหนักแน่นมากว่าต้องการส่งเวาเชอร์มาให้หนอที่โรงแรม ขอให้ระบุที่อยู่มาในอีเมลตอบกลับด้วย

หนอกดตอบกลับอีเมลฉบับนั้นอย่างรวดเร็ว แต่เนื้อความไม่ได้มีการระบุที่อยู่ใด ๆ ให้ หนอตอบไปแค่ว่าขอบคุณที่ใส่ใจกับคำร้องเรียน และหนอขอแค่ให้ลูกค้าคนอื่นไม่ต้องมาไม่รู้สึก "พร่อง" เหมือนหนอก็พอ

(เอาจริง ๆ ในคำร้องเรียนเขียนไปค่อนข้างหนักแหละ ระบุว่าปัญหาเป็นที่ตัวพนักงานคนแรกที่รับออเดอร์ นั่นคงเป็นเหตุผลหลักที่แมคโดนัลด์เห็นเป็นเรื่องร้ายแรง จนต้องร่ายยาวกันขนาดนี้)

ก็นั่นล่ะค่ะ เรื่องราวของคุณผู้หญิงในแมคโดนัลด์ ทั้งหมดนี้คือหนอต้องการจะบอกว่า อะไรที่รู้สึกว่าถูกล้ำเส้นก็แสดงออกมาเถอะนะคะ ในอุตสาหกรรมการบริการ ฟีดแบ็กลูกค้าถือว่าสำคัญมาก มีอะไรที่คาใจก็บอกให้ทางบริษัทที่รับผิดชอบรู้ หนอเชื่อว่ามันช่วยหลายคนได้ในระยะยาว อย่างในกรณีนี้ก็มาตรฐานการบริการของทางร้าน และอาจจะเซฟความรู้สึกลูกค้าคนอื่นในอนาคตได้ด้วย

นี่หนอคิดเอาเองนะ หนออาจจะคิดผิดก็ได้...

May 2, 2016

London Episode 13: The Lady at Empire Cinema


ลอนดอนเป็นเมืองที่การเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์และการเข้าชมละครเวทีเป็นวัฒนธรรมที่เข้มแข็งหรือยังไงไม่ทราบ แต่หนอรู้สึกว่าวิถีการดูหนังของเขาไม่ค่อย "เร้าใจ" เท่าที่เมืองไทย โรงก็น้อย รอบก็น้อย หนังก็น้อย

หลังจากที่ดู High-Rise รอบพิเศษไปที่ Picturehouse Central หนอตัดสินใจลองเดินสำรวจโรงหนังในละแวกเดียวกันดู เผื่อจะได้มีประสบการณ์ดูหนังในโรงบ้านเขาอีกเรื่องสองเรื่อง

สิ่งที่ประทับใจจากเมื่อตอนที่ดู High-Rise ก็คือ การส่ง QR Code มาทางอีเมลตั้งแต่ตอนที่จอง ซึ่งเราจะพิมพ์อีเมลออกมาเพื่อนำไปยืนยันหรือจะแค่โชว์ Code ในมือถือให้เขาดูก็ได้ และเมื่อไปถึงหน้าโรงแล้ว เราจะไปขอให้เขาปรินต์ตั๋วออกมาหรือโชว์มือถือให้พนักงานดูเฉย ๆ ก็ได้ ง่ายสุด ๆ สะดวกสุด ๆ ไม่ต้องต่อคิว ไม่ต้องยุ่งยาก ไม่เสียเวลาเท่าที่เมืองไทย

วันนั้นเป็นวันธรรมดา Leicester Square ดูเหงา ๆ เหมือนว่าจะมีแต่นักท่องเที่ยวมาเดินเล่น และแม้ว่าแถวนั้นจะมีโรงหนังอยู่หลายเครือ แต่ผู้คนก็เลือกที่จะเดินผ่านไปผ่านมาหรือนั่งพักดื่มอะไรร้อน ๆ ริมทางเสียมากกว่า

หนอเดินเข้าโรงหนัง Empire เพื่อไปสอบถามรอบฉายประจำวัน ที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วนั้นมีพนักงานยืนอยู่ 1 คน เป็นผู้หญิงร่างสูงใหญ่ ผมสั้นสีบลอนด์ (อารมณ์ "เกวนโดลิน คริสตี" อะ) หน้าตาเธอเหมือนจะยิ้มแย้ม ไม่รู้สิ บางทีดูจากไกล ๆ ก็เดาไม่ถูกหรอกว่าคนคนหนึ่งจะพูดจาดีหรือเปล่า

ทันทีที่หนอก้าวพ้นประตู เธอคนนั้นกล่าวทักทายและยิ้มกว้างให้อย่างอารมณ์ดี ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า เธอเพิ่งดื่มกาแฟเข้าไป เพื่อที่จะเริ่มต้นวันอย่างกระฉับกระเฉง "ไม่ดื่มกาแฟนี่ทำงานแทบไม่ได้เลยนะคะ" เธอพูดขึ้น "จริงค่ะ ยิ่งอากาศเย็น ๆ แบบนี้ด้วย ไม่อยากขยับไปไหนเลย" หนอตอบไป

เธอคนนั้นจัดว่าอัธยาศัยดีแบบผิดที่ผิดทางทีเดียว จะเป็นเพราะเธอดื่มกาแฟมามากเกินไปหรือเปล่านะ ลักษณะเธอคล้าย ๆ คนที่ได้รับคาเฟอีนเกินขนาดยังไงไม่รู้สิ เอาเป็นว่าตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา หนอไม่เคยเจอพนักงานในอาชีพบริการในลอนดอนที่ดูกระตือรือร้นขนาดนี้

ระหว่างที่เธอชวนคุยสัพเพเหระ หนอสังเกตว่ามีเสียงหนุ่ม ๆ กลุ่มหนึ่งที่ยืนถัดไปทางประตูโรงด้านในดังขึ้นมาเป็นระยะ ๆ หนอไม่ได้หันไปดูว่าเป็นพนักงานที่นี่หรือเปล่า

แต่หลังจากนั้น ทุกจังหวะที่คุณผู้หญิงคนนี้เล่าอะไรให้หนอฟังแล้วทำมือทำไม้อลังการ จะมีเสียงหนุ่ม ๆ กลุ่มที่ว่านี้โห่ฮาขึ้นพร้อมกันไปด้วย แรก ๆ หนอคิดว่าเขาคงคุยกันเอง แต่พอเป็นอย่างนี้สัก 2-3 ครั้ง มันชักจะไม่ใช่แล้วไง นี่มันอารมณ์เดียวกับเด็กหลังห้องตะโกนแซวเด็กเนิร์ดแว่นหนาที่นั่งติดกระดานดำชัด ๆ

อย่างไรก็ตาม คุณคนที่คุยกับหนอนี่ไม่ได้สะดุ้งสะเทือนอะไรกับเสียงโห่ฮานั้น ทำให้หนอไม่แน่ใจว่าเธอเป็นเหยื่อของการโดน Abuse ในที่ทำงานหรือเปล่า และถ้าหนอหันไปปรามหรือทำอะไรสักอย่างกับเด็กหนุ่มพวกนั้น เมื่อหนอเดินออกไปแล้ว เธอจะโดนล้อเลียนหนักขึ้นหรือไม่

ทั้งหมดนี้อาจจะเป็นเส้นเรื่องที่หนอคิดไปเอง หรืออาจจะเกิดขึ้นจริงก็ได้ แต่มันก็ทำให้หนอมาคิดต่อว่าเรื่องน่าหดหู่แบบนี้มันเกิดขึ้นทุกทีจริง ๆ มันเกิดขึ้นในโรงเรียนกับเด็กเนิร์ด ๆ หรือเด็กที่แตกต่างจากคนอื่น มันเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัย มันเกิดขึ้นในที่ทำงาน

ทั้งที่คนที่โดนแซวโดนล้อก็ไม่ได้ทำอะไรที่น่าอายหรือผิดร้ายเลย แต่คนส่วนใหญ่ ณ ที่นั้น ๆ กลับเลือกที่จะ Bully คนคนเดียวหรือคนกลุ่มเล็กที่ไม่มีทางสู้ เพื่อให้ตัวเองดูเท่หรือมี Power ขึ้นมา

วันนั้นไม่มีหนังเรื่องที่หนออยากดูในรอบเวลาที่เหมาะ ๆ เลย น่าเสียดายมาก หนออยากจะอุดหนุนเธอคนนั้นมาก ๆ เพราะในวันที่เงียบเหงาอย่างนั้น เธอกลับอยากบริการลูกค้าอย่างเต็มที่ (ตรงกันข้ามกับโรงหนังที่อยู่ใกล้ ๆ กัน ที่ให้น้องคนสวยท่านหนึ่งนั่งเฝ้าตู้ขายตั๋วด้วยสีหน้าซังกะตาย ถามอะไรไปก็ตอบมาห้วน ๆ)

หนอได้แต่เดินออกมาจาก Empire ด้วยอารมณ์เซ็ง ๆ พร้อมกับหวังว่าวันหนึ่งจะได้กลับมาที่นี่อีก และหวังว่าเธอคนนั้นจะยังอยู่ที่เดิม "ไว้จะกลับมานะคะ" คือสิ่งที่หนอบอกเธอไป ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาอีกเมื่อไร หนอหันไปยิ้มกว้างให้เธอเป็นครั้งสุดท้าย หวังว่าการสนทนาที่หนอพยายามส่ง Energy กลับไปในระดับที่เธอส่งมาให้นั้น จะทำให้ 1  วันของเธอเป็นวันที่ดีได้

หนอหวังด้วยว่าชีวิตการทำงานโดยรวมของเธอจะไม่โหดร้ายเกินไปนัก และเธอจะสามารถหาความสุขจากแต่ละวันได้อย่างเต็มที่ เพราะสุดท้ายแล้ว คนแบบนี้นี่แหละที่จะทำให้คู่สนทนามีรอยยิ้มขึ้นมาได้ แม้จะไม่ใช่คนที่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวก็ตาม คนแบบนี้นี่แหละที่นายจ้างควรเก็บรักษาไว้ให้ดี แม้สิ่งที่เขาทำจะเล็กน้อยจนไม่ส่งผลโดยตรงต่อรายรับของบริษัทก็ตาม

วันนั้นขณะเดินทางกลับโรงแรมหนอนึกถึงร้านสตาร์บัคส์สาขาหนึ่งที่เกาหลี ที่ตั้งอยู่หน้าหอพัก และทำให้หนอต้องแวะก่อนไปเรียนทุกวัน แล้วก็นึกถึงตัวเองตอนเรียนม.ปลายด้วย แปลกดีนะที่คนแปลกหน้าคนหนึ่งสามารถดึงความทรงจำอะไรไม่รู้มากมายออกมาจากซอกหลืบสมองเราได้ (ไว้วันหลังจะเล่าให้ฟังนะ ขอติดไว้ก่อน)

ขอให้คุณโชคดีนะคะ คุณผู้หญิงผมบลอนด์ที่โรงหนัง Empire