December 2, 2016

ถึงคุณพยาบาล


เมื่อวานเป็นวันเอดส์โลกค่ะ และหนึ่งในข่าวที่ทั่วโลกรายงานถึงก็คือการพบกันของศิลปินดัง "ริอานนา" กับ "เจ้าชายแฮร์รี" ในบาร์เบโดส เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี การเป็นเอกราชของประเทศ และทั้งคู่ก็ได้รณรงค์ตรวจหาเชื้อเอชไอวีด้วยการโชว์ตรวจเลือดให้สื่อมวลชนดูเสียเลย ซึ่งเจ้าชายเคยทำมาแล้วครั้งหนึ่งในอังกฤษ และจุดกระแสให้ผู้คนจำนวนมากไปตรวจเลือดบ้าง

ประเด็นที่หนอจะมาเขียนถึงวันนี้ก็คือการตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวีนี่แหละ หนอว่าจะมาเขียนนานแล้ว แต่ก็ติดโน่นติดนี่ จนฮึดอยากกลับมาเขียนก็วันนี้นี่แหละ

หลายปีมาแล้วหนอเคยสัมภาษณ์งานกับธนาคารหนึ่งและได้เรียกตัวเข้าทำงาน ซึ่งมีข้อแม้ว่าทุกคนต้องยื่นผลตรวจสุขภาพและผลตรวจเอดส์ ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่หนอรู้ว่าไอ้ตรวจ 2 อย่างนี้มันแยกกัน ***คือแปลว่าตรวจธรรมดาจะเจอปริมาณไขมันกู แต่ไม่รู้ว่ากูเป็นเอดส์ งี้เหรอวะ?*** ก็ไม่อะไร ตรงไปโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังมากแห่งหนึ่ง เพราะเป็นคนไข้ประจำที่นั่นอยู่แล้ว

ด้วยความเงอะงะ เพราะไม่เคยตรวจแผนกอื่นนอกจากแผนกผิวหนัง สุดท้ายก็เจอเคาน์เตอร์ที่ควรติดต่อจนได้ พอบอกพยาบาลว่า "มาตรวจเอดส์ค่ะ จะเอาไปยื่นที่ทำงาน..." เท่านั้นแหละ ก็โดนเบรกทันที "ไม่ต้องบอก ๆ ว่าจะเอาไปทำอะไร" คุณพยาบาลที่ดูมีอายุหน่อยยกมือห้าม ก่อนจะเดินไปจัดการให้ตามขั้นตอน

นั่นดูเป็นท่าทีที่ประหลาดสำหรับหนอนะ คือไอ้เรื่องความลับระหว่างบุคลากรสาธารณสุขกับผู้ป่วยเนี่ย มันคือรู้แต่ไม่ไปบอกคนอื่นไม่ใช่เหรอวะ? ไม่ใช่ว่าปฏิเสธที่จะรับรู้ ผู้ป่วยอยากพูดอะไรต้องพูดได้ดิ แล้วการตรวจหาเชื้อที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้ จำเป็นหรือเปล่าที่บุคลากรยิ่งต้องทำตัว "ปกติ" และแน่นอนว่าต้อง "มีมารยาท" (ซึ่งนับวันดูจะเป็นสิ่งที่หาได้ยากในหลายวิชาชีพ ทั้งที่บางกรณีควรเป็น "สามัญสำนึก" ด้วยซ้ำ) ไม่แสดงอาการใด ๆ ที่อาจจะผลักไสหรือตราหน้าผู้รับบริการ

แล้วการตรวจก็ผ่านไป หนอไม่ได้มีไลฟ์สไตล์เข้าข่ายเสี่ยงอะไรอยู่แล้ว ก็เลยแค่รอชิล ๆ จนคุณพยาบาลคนเดิมเรียกไปรับผลนั่นแหละ (ขอพยาบาลคนอื่นได้ไหมวะ? -*-) เธอจัดแจงยื่นผลให้ และยื่นอีกมือมาจับมือหนอ "โถ ไม่เป็นไรแล้วนะ" ..........


#^&$%#*&*%$#@ [จงเติมคำสบถในหัวเอาเอง]

คือคุณพยาบาลนี่เป็นบ้าอะไร ทำไมต้องทำเหมือนคนที่มาตรวจเป็นผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวีเอดส์ด้วย ถ้านี่คือมาตรฐานการดูแลคนไข้ปกติของโรงพยาบาลหรือของพยาบาลท่านนี้ ขอแนะนำให้เปลี่ยนด่วนเลยนะคะ

หนอว่า สิ่งที่ดีที่สุดคือการทำเหมือนทุกคน "ไม่เป็นเอดส์" จะดีกว่า คนเรามีเหตุผลมากมายให้ตรวจเลือดหาเอดส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสังคมที่หลายองค์กรยังยืนยันที่จะให้ลูกจ้างเปิดเผยผลการตรวจเลือด (ซึ่งจริง ๆ ก็ขัดกับสิทธิเสรีภาพนะ แต่จุดนี้เราจะไม่พูดถึง) มันน่าตกใจมากที่โรงพยาบาลเอกชนอันดับต้น ๆ ของประเทศ (และแพงเป็นอันดับต้น ๆ ด้วย) มีบุคลากรที่เลือกใช้คำพูดที่ offend ผู้รับบริการแบบนี้

หนอว่านี่มาจากอคติและสเตอริโอไทป์ในใจของคุณพยาบาลเอง ว่าคนที่มาตรวจคือต้องไปทำอะไรสุ่มเสี่ยงมา ซึ่งนี่ถือเป็น "การตราหน้า" รูปแบบหนึ่ง (ไม่ต่างกับพนักงานร้านแบรนด์เนมทำเหมือนลูกค้าที่เดินเข้าร้านไม่มีเงินซื้อ) และนี่คือหนึ่งในเหตุผลให้คนไม่อยากไปตรวจเอดส์ ถ้ามองกันดี ๆ แล้ว จะสรุปว่า "บุคลากร" ในระบบสาธารณสุขเป็นปัจจัยที่ทำให้ระบบสาธารณสุขและการบริการสุขภาพล้มเหลวนี่คงไม่ผิดนักนะคะ เพราะนอกจากคุณพยาบาลท่านนี้แล้ว หนอยังเคยเจอกรณีอื่น ๆ อีกมาก บอกเลยว่าสายวิชาชีพที่ดีไม่ได้ช่วยให้มีสามัญสำนึก มารยาท หรือหัวใจบริการเพิ่มขึ้นเลย

ถ้าหนอเป็นคุณพยาบาล หนอจะยื่นเอกสาร อ่านผล ยิ้มให้ แล้วเชิญให้ไปจ่ายเงิน แค่นั้น...


สุดท้ายนี้ หนออยากบอกว่าหนอสนับสนุนให้คนไปตรวจเลือดโดยสมัครใจ สนับสนุนโครงการลบล้างอคติต่อผู้ป่วยเอดส์/โครงการช่วยเหลือเด็กในพื้นที่เสี่ยงเอชไอวีในแอฟริกาของเจ้าชายแฮร์รี และสนับสนุนให้คนในทุก ๆ วิชาชีพ "ใส่ใจ" กับการแสดงออกของตนเองค่ะ

October 12, 2016

The King


Artist: Thanakim Thanomton
FB Page: Madcandy Studio
.........

August 2, 2016

#สุนทรภู่ไม่ได้เป่าปี่


เมื่อวันก่อนหนอไปงานเปิดตัวหนังสือ "สุนทรภู่ไม่ได้เป่าปี่ พระอภัยมณีไม่ใช่คนระยอง" ของ "ครูทอม คำไทย" ที่งาน a book fair 2016 มาล่ะ แต่วันนี้ไม่ได้จะมาเชิญชวนให้ซื้อหนังสือนะคะ แค่จะมาเล่าให้ฟังว่าการไปร่วมงานครั้งนี้ทำให้ได้อะไรกลับมาคิดเยอะเลย

ครูทอม หรือ "อีครู" (เวลาที่หนอเรียกนางเป็นบุรุษที่ 3 เมื่อคุยกับคนอื่น) เป็นคนมีเพื่อนเยอะ และนิสัยหนึ่งของมันคือมักจะลากเพื่อนไปเจอเพื่อน คือไม่ว่าจะงานไหนเพื่อนมันจากหลากหลายกลุ่มแม่งจะสนิทกันไปเองน่ะ คือสุดท้ายไม่ต้องมีมันก็ได้ 555

งานเปิดตัวหนังสือครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เพื่อน ๆ ครูทอมมารวมตัวเพื่อให้กำลังใจ และก็คงถือได้ว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง เพราะเสียงกรี๊ดของหน้าม้าอย่างพวกเรานี่ดังแบบไม่เกรงใจคนจัดงานเลยทีเดียว ประเด็นคือ... พวกเราแต่ละคนไม่ได้นัดกัน แต่มาเพราะครูทอมชวนมา (แบบตัวต่อตัว) ทั้งนั้น

มันน่าประหลาดใจดีนะที่ทุกคนมาเจอกัน ยกมือไหว้สวัสดีทักทายกัน พูดคุยสนิมสนม โดยที่ความจริงแล้วเส้นทางชีวิตไม่ได้คาบเกี่ยวกันเท่าไร สำหรับน้อง ๆ คนอื่นหนอคงพูดแทนไม่ได้ เพราะบางคนทำงานด้วยกันมา บางคนแข่งแฟนพันธุ์แท้มา แต่หนอคือไม่ได้อยู่ในกลุ่มนี้เลย รู้จักทุกคนเพราะ "อีครู" ล้วน ๆ เริ่มจากการไปงาน ไปดูหนังรอบสื่อ ไปช่วยงานระดมทุน แล้วครูทอมก็หยิบคนนั้นคนนี้มาแนะนำตัวใส่ จนมาวันนี้ ที่ทุกคนมางานนี้ แล้วก็เข้ามาทักทายกันเอง พูดคุยกัน กรี๊ดกร๊าดครูทอมกัน ทำให้หนอกลับบ้านมานึกว่า นี่นานเท่าไรแล้ววะ ที่รู้จักครูทอมมา และมีกี่คนแล้วที่กลายเป็นเพื่อนเป็นพี่น้องที่สนิทสนมชอบพอนิสัยกันเพราะครูทอมเป็นคนแนะนำ นี่เป็นคุณสมบัติที่สำคัญมาก ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมี

สำหรับหนอ ซึ่งเป็น introvert มาตลอดชีวิต การเข้าสังคมและ "เจ๊าะแจ๊ะ" ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้โดยธรรมชาติ (อาศัยการฝึกฝนมากพอสมควร ที่ทำให้ flow หน่อยก็คงเป็นอาชีพนักข่าว) แต่ครูทอมก็ทำให้การเจอคนใหม่ ๆ เป็นเรื่องง่ายเสมอ เพราะฉะนั้น มันไม่ใช่แค่คนที่ลากคนอื่น ๆ มาเจอกันเท่านั้น แต่มันจะ make sure ว่าแต่ละคนจะต่อบทสนทนากันไปได้โดยไม่มีมันด้วย และเพราะมันนึกถึงความรู้สึกคนอื่นอย่างนี้นี่เอง ที่พอมันมีงานแล้วคนอื่น ๆ ถึงได้นึกถึงความรู้สึกมัน แล้วออกมาสนับสนุนกันมากขนาดนี้



ไม่ได้จะอวยอะไรมากหรอก
แวะมาบอกแค่นี้แหละ

----------

"สุนทรภู่ไม่ได้เป่าปี่ พระอภัยมณีไม่ใช่คนระยอง"
มีวางขายแล้วตามร้านหนังสือทั่วไป

July 29, 2016

หัวหิน... ถิ่นมีเธอ at Searidge


ตั้งแต่โตมาและได้ไปเที่ยวทะเลนี่หนอก็คิดมาตลอดว่า "หัวหิน" คือที่ที่เอาไว้ไปเที่ยวทะเลเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าสมัยนี้นอกจากการเล่นน้ำทะเลแล้ว คนที่ไปเที่ยวยังมีที่กิน/ดื่ม/ชิลใหม่ ๆ กระจายอยู่ทั่วหัวหิน และยังจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามความนิยม แต่เมื่อสุดสัปดาห์ก่อนหนอมีโอกาสได้ไปเที่ยวหัวหินแบบ "ไม่เล่นน้ำทะเล" เป็นครั้งแรก เลยถือเป็นประสบการณ์พิเศษที่อยากนำมาแชร์กับคุณผู้อ่านด้วย

ที่พักของหนออยู่ในส่วนที่ติดกับภูเขา และค่อนข้างไกลจากทะเล ข้อดีคือลมที่พัดผ่านให้ความสดชื่น ไม่เหนียวตัว เรียกว่าได้เปิดประตูเปิดหน้าต่างรับลมแบบไม่เกรงใจใครเลยทีเดียว (ประหยัดแอร์ลดโลกร้อนไปอีก 555) ภาพด้านบนที่เห็นนี่ไม่ผ่านฟิลเตอร์ใด ๆ เลยค่ะ จากระเบียงห้องพักของ Searidge Hua Hin by Salinrat ที่ตอนแรกจองไปเพราะรู้จักพี่เจ้าของอาคาร ตอนหลังถึงได้รู้ว่ามันมีดีจริง ๆ ถ้าวันหลังต้องไปก็จะเลือกจองที่นี่อีก

หนอว่าที่พักในหัวหินมีอยู่เยอะนะ แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้มีห้องที่เหมาะสมกับกระเป๋าสตางค์และความต้องการของเรามากนัก บางทีอยากไปหลายคน นอนโรงแรมไม่ได้ จะค้างเป็นบ้านเป็นคอนโดก็ราคาต่อคนต่อคืนค่อนข้างสูง เรียกว่ามีข้อจำกัดเยอะนั่นล่ะ ซึ่งที่ Searidge ที่หนอไปนอนนี่ ลองถามถึงห้องหลาย ๆ ขนาดดูแล้วพบว่าราคาต่อคนต่อคืนตกอยู่ที่ประมาณ 1,500 บาท แถมมีรถ Shuttle พาไปส่งถึงย่านใจกลางความเจริญอย่าง Market Village ด้วย เหมาะจะหนีมาปลีกวิเวก-จำศีล-ปิดโทรศัพท์-ดับอีเมลเสียจริง ๆ

เปิดประตูเข้าไปเจอครัว-ห้องนั่งเล่น

ห้องพักที่นี่เป็นคอนโดค่ะ แต่ก็มีบริการจากส่วนกลางด้วยเหมือนกัน คือเป็นส่วนตัวระดับหนึ่งแหละ แต่ก็ยังเรียกพนักงานให้มาดูแล เติมโน่นนี่ ทำห้อง เปลี่ยนผ้าปูอะไรได้ ห้องที่หนอได้คราวนี้เป็นแบบ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ เพิ่งตกแต่งใหม่เสร็จสรรพ ผนงผนังนี่ดูใหม่จนไม่กล้าไปทำเลอะเลย 555 จะน่าเป็นห่วงหน่อยก็ตรงที่มีแจกันและพร็อพวางไว้เยอะจนมนุษย์ซุ่มซ่ามอย่างหนอต้องระวังเป็นพิเศษ -- ห้องพักแบบนี้นอนได้ 4 คน โดยที่ห้องนอนหนึ่งจะเป็น Master Bedroom พร้อมห้องน้ำ En Suite ส่วนอีกห้องจะเป็นเตียงแยก และต้องออกมาเข้าห้องน้ำข้างนอก

ห้องนอน Master (รูปมืดไปหน่อย ขอโทษด้วยค่ะ -_-")

ห้องน้ำของห้องนอน Master
นอกจากพื้นที่อาบน้ำและโถสุขภัณฑ์แล้ว
ยังมีอ่างอาบน้ำไว้ให้แช่สบาย ๆ ด้วย

ห้องนอนที่สอง -- ไม่ Master แต่ก็ไม่คับแคบ

นอกจากจะห้องกว้างและวิวดีแล้วนะ ที่ชอบมาก ๆ คือมันมีครัวค่ะคุณผู้ชม! มีครัวและจานชามช้อนส้อมพร้อม มีไมโครเวฟ เครื่องชงกาแฟ เครื่องปิ้งขนมปัง ตู้ยงตู้เย็นก็มา อะไรที่เราต้องใช้ในชีวิตประจำวันนี่มาหมด นี่คือที่ที่เหมาะสำหรับหนีเจ้านายมากบดานจริง ๆ 555 สะดวกสบายมาก และสำหรับคนที่อยากออกกำลังกาย ที่นี่ก็มีฟิตเนสและสระว่ายน้ำไว้พร้อมบริการด้วยล่ะ

สระว่ายน้ำใหญ่และสระเด็ก

สไลเดอร์ (ขนาดสำหรับผู้ใหญ่) พร้อมมาก!

ก็นั่นแหละ ไม่มีอะไรจะโฆษณามาก แต่อยากเชียร์ให้มาพักดู สไลเดอร์ขนาดสำหรับผู้ใหญ่นี่อยากยกกลับบ้านมาก ๆ อยากเก็บไว้เล่นคนเดียว 555 ใครที่เก็บกดจากการไปพักโรงแรมแล้วมันมีแต่สไลเดอร์ของเด็ก ขอให้มาที่นี่ คุณเอ๊ย ไม่มีใครแย่งแน่ ๆ เล่นวนไปค่ะ :)

สำหรับห้องที่หนอพักนี่ ราคาจะขึ้นลงตามฤดูกาลการท่องเที่ยว แต่จะอยู่ราว ๆ 3,2xx - 3,4xx บาท (คือสามพันต้น ๆ นั่นแหละ แล้วแต่โปรโมชั่นในแต่ละเดือนด้วย) ไม่เกินนี้ ถ้าสนใจก็ลองเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊ก Searidge Hua Hin (by Salinrat) ที่นี่

ห้องนอนเล็ก (ห้องนอนที่สอง)

ห้องน้ำเล็ก (ห้องน้ำส่วนกลาง)

ชุดครัว (พื้นที่ส่วนกลาง)

ขอให้ทุกท่านใช้เวลาช่วงสุดสัปดาห์อย่างเต็มที่ค่ะ

May 17, 2016

London Episode 14: The Lady at McDonald's


หนอคิดอยู่นานพอสมควรว่าจะเขียนบล๊อกนี้ดีหรือเปล่า และถ้าเขียนจะออกมาในรูปแบบไหน เพราะมันไม่มีแนวทางดี ๆ ที่จะบอกเล่าเรื่องนี้ได้เลย ทั้งที่มันก็ไม่ได้น่าอับอายหรือเป็นความลับขนาดนั้น เป็นแค่ความเข้าใจที่ไม่ตรงกันมากกว่า

เรื่องนี้เกิดขึ้นในวันแรก ๆ ที่หนอไปถึงลอนดอน ด้วยความที่อากาศเย็นและลมค่อนข้างแรง การรอคอยให้ละครเวทีเริ่มต้นจึงเป็นสิ่งที่ทรมานพอดู โรงละครก็คับแคบ ไม่มีพื้นที่ให้แกร่วรอ แถมย่านนั้นยังไม่มีอะไรให้เดินเตร่อีกต่างหาก จะข้ามฝั่งไปย่านท่องเที่ยวก็ลำบากเพราะรองเท้ากัด คือไดเลมมาเยอะน่ะ เอาตรง ๆ

คิดกลับไปกลับมาอยู่นาน สุดท้ายก็เดินเข้าแมคโดนัลด์ รองท้องสักหน่อย ความพังอย่างแรกคือเดินเข้าไปแล้วพบว่าคนเยอะมาก คิวก็ยาว โต๊ะก็เต็ม แต่เอาวะ ต้องกินอะไรหน่อยแหละ สักพักคิวเริ่มไหลเร็วและหนอก็ได้โอกาสสั่ง แล้วความพังอย่างถัดมาก็เริ่มต้นขึ้น

"มีอะไรที่ไม่ใช่กาแฟและไม่ใช่น้ำอัดลมไหมคะ?" หนอถามไปด้วยสำเนียงอเมริกันแบบไม่ Native ซึ่งเท่าที่ผ่านก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร ดูทุกคนจะฟังรู้เรื่อง แต่... เธอคนนี้ เธอที่อยู่ตรงหน้าหนอนี้กลับชะงักและทำหน้าเหมือนสงสัยอะไระสักอย่าง

"มีเมนูเครื่องดื่มที่ไม่ใช่กาแฟและไม่ใช่น้ำอัดลมไหมคะ?" หนอถามย้ำ เธอคนที่ว่ายังคงทำหน้างง ๆ แล้วตอบมาว่า "ฉันไม่เข้าใจที่คุณพูดเลย"

ด้วยความที่ไม่อยากให้คนข้างหลังต้องรอคิวนาน สัญชาตญาณการเอาตัวรอดสมัยอยู่เกาหลีกลับเข้าร่างทันที แทนที่หนอจะสั่งซ้ำเฉย ๆ หนอยกแขนขึ้นมาไขว้ X พร้อมพูดไปด้วย เพื่อให้คนฟังรู้ว่า "กาแฟ" เนี่ยไม่เอา "น้ำอัดลม" ก็ไม่เอา

ภาพรวมดูเหมือนคนบ้ามาก แต่เอาเถอะ สั่ง ๆ ไป ไม่ได้จะ "คีป-ลุค" หรือคิดว่าต้องดูดีอยู่แล้ว

"อ่าาา เยส" นางทำหน้าเหมือนเข้าใจ "วี แฮฟ คาปุชชีโน่... ลาทเท่..." (อันนี้คือพยายามสะกดตามเสียง ห้ามด่า) โอ๊ย ไม่ซี่ยยย์ (อันนี้คือคิดในใจ) "โน่ว โน่ว โน่ววว" หนอตอบกลับไปแบบเซ็ง ๆ

ระหว่างนั้นหูซ้ายก็ได้ยินชะนียุโรปตะวันออกสั่งอาหารด้วยสำเนียงที่ฟังยากยิ่งกว่า แต่กลับไม่มีปัญหาใด ๆ  โลกแม่งไม่ยุติธรรมว่ะ จุดนั้นไม่รู้ต้องทำสำเนียงยุโรปตะวันออกด้วยไหมถึงจะได้กิน

สุดท้ายคุณที่เคาน์เตอร์ก็ลากอีเพื่อนข้าง ๆ (ที่เพิ่งรับออเดอร์ต่างด้าวที่ว่านั้นแหละ) มาฟังหนอพูด ซึ่งหนอก็พูดประโยคเดิม แล้วนางก็เข้าใจทันที "เรามีมิลก์เชกและสมูธตีค่ะ" ก็แค่นั้นแหละ โธ่เอ๊ย "เอามิลก์เชกค่ะ สตรอว์เบอร์รีมีใช่ไหม?"

"มีค่ะ ได้ค่ะ มิลก์เชกสตรอว์เบอร์รี 1 ที่นะคะ" คุณพนักงานหมายเลข 2 กดออเดอร์อย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะหันไปคุยกับในครัวแล้วหันมาบอกหนอว่า "คุณคะ นมหมดค่ะ เปลี่ยนเป็นสมูธตีได้ไหม?"

เออ เอามาเถอะวะ "ได้ค่ะ" หนอตอบไปแบบรำคาญ ๆ จากนั้นก็กระเถิบไปยืนด้านข้าง ให้คนข้างหลังสั่ง

พอคุณพนักงานทั้งสองหันไปจัดแจงอาหารด้านหลัง พนักงานหมายเลข 3 ก็เข้ามารับหน้าที่แทน คราวนี้เป็นผู้ชาย คนที่สั่งอาหารต่อจากหนอได้สั่งกับคนนี้ เธอมากับสามีและลูกเล็ก 1 คน เธอสั่งมิลก์เชก

เดาสิ... เดาว่ามีอะไรเกิดขึ้นต่อ...

เธอได้กินมิลก์เชกว่ะเฮ้ย

นี่พิมพ์มาถึงตรงนี้ไม่อยากเรียบเรียงอะไรมากมายแล้วนะ คือเป็นโมเมนต์ที่ว็อตเดอะฟัคมาก ยืนรอไปก็เบะปากไป ขี้เกียจจะทำอะไรกับเหตุการณ์นี้แล้ว ยอมแพ้จริงจัง

หนอรับอาหารมาแล้วรีบลงไปหาที่นั่งด้านล่าง โชคดีมากที่มีคนลุกไปพอดี ถึงได้มีที่ว่าง และเพราะเป็นโต๊ะใหญ่สำหรับ 4 คน คุณผู้หญิงที่สั่งมิลก์เชกแล้วได้กินจึงต้องมานั่งโต๊ะเดียวกันกับหนอ ลูกสาวเธอน่ารักมาก หนอรีบกินรีบไป เขาสามคนจะได้ใช้พื้นที่แบบสบาย ๆ

ขณะที่หนอกำลังลุกออกไป น้องคนนั้นวางของที่กินอยู่แล้วหันมาบ๊ายบายหนออย่างน่าเอ็นดู "บายยย" หนอตอบไปด้วยสำเนียงอเมริกันแบบไม่ Native ที่คุณผู้หญิงที่รับออเดอร์ฟังไม่รู้เรื่อง (แต่ดูเหมือนคนอื่น ๆ จะฟังรู้เรื่องหมด) พร้อมกับยิ้มกว้าง อย่างน้อยวันนี้ก็มีเรื่องให้ยิ้มล่ะว้า (เสียงในหัวหนอมองโลกในแง่ดีกว่าตัวตนที่แท้จริงของหนอมาก ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เถียงกันเองอยู่บ่อยครั้ง)

หนอเดินกลับโรงละครแบบไร้ความมั่นใจ ทั้งหมดนั่นมันคืออะไรกันแน่วะ ดวงไม่ดี เจอเจ้ากรรมนายเวร ก้าวเท้าออกจากห้องผิดข้าง หรือฮวงจุ้ยไม่ถูกโฉลก คือมันต้องลี้ลับประมาณนี้แหละ เพราะหนอหาเหตุผลที่ฟังขึ้นให้ตัวเองไม่ได้เลย

ในโรงละครทุกที่จะมีบาร์ ขายพวกขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่ม บาร์เหล่านี้จะเปิดก่อนละครเล่นราว  1 ชั่วโมง หนอเดินเข้าไปซื้อน้ำขวดหนึ่ง พอหันหลังกลับออกมาแล้วก็ตัดสินใจหันกลับไปถามพนักงานอีกรอบ "คุณ ๆ ... คุณเข้าใจที่ฉันพูดไหม?" ใช่ คำถามโง่มาก แต่ขอสักหน่อยเหอะ

"เข้าใจสิฮะ มีอะไรเหรอ?" คุณผู้ชายสำเนียงอเมริกันตอบ ส่วนคุณผู้หญิงชาวอังกฤษอีกคนยืนพยักหน้าอยู่ข้าง ๆ แบบงง ๆ

"แมคโดนัลด์ฝั่งตรงข้ามไม่เข้าใจที่ฉันพูดแหละ แย่จัง"

"โอ่ย แมคโดนัลด์ก็อย่างนี้ตลอดแหละฮะ เกิดกับลูกค้าทุกคน อย่าไปใส่ใจเลย อย่าให้เรื่องแย่ ๆ แบบนี้มาทำให้หงุดหงิด"

"อ้าว อย่างนั้นเหรอคะ ขอบคุณค่ะ" เป็นอย่างนี้ตลอดเลยเหรอ นี่คือปกติเหรอ แย่ว่ะ

หนอเดินออกจากบาร์มาแบบสับสนหน่อย ๆ ในเมืองที่มีความหลากหลายอย่างลอนดอนนี่... การทรีตลูกค้าแบบนี้มันกลายเป็นเรื่องปกติได้ด้วยเหรอ? นี่แมคโดนัลด์นะแก... ฉันไม่ได้พูดไม่รู้เรื่องด้วยนะแก...

คืนนั้นหนอดูละครเสร็จแล้วกลับห้องพักเลย หมดวันแล้วก็ควรนอน ๆ ให้มันจบ ๆ ไป รุ่งขึ้นอารมณ์ดีขึ้นแล้วก็คงหายกัน หรือไม่ ถึงตอนนั้นก็คงมีสติมากขึ้น

เป็นอย่างนั้นจริง ๆ แหละ หนอตื่นขึ้นอาบน้ำแต่งตัวแล้วออกไปตะลุยพิพิธภัณฑ์ได้อย่างเบาใจ จนกลับมาที่ห้องพักในตอนค่ำถึงได้ลองนั่งคิดทบทวนอย่างเป็นจริงเป็นจังว่าควรจะทำอะไรสักอย่างไหม

ว่าแล้วหนอก็เข้าเว็บไซต์แมคโดนัลด์ยูเค กดร้องเรียน ย่อเรื่องราวทั้งหมดให้อยู่ภายในจำนวนอักษรที่เขากำหนดและกด "ส่ง" ด้วยความรู้สึกว่าไม่อยากให้ใครโดนแบบนี้อีก ถึงตอนนี้แมคโดนัลด์จะอ่านหรือไม่อ่าน จะสนใจหรือไม่สนใจ หนอไม่รับรู้แล้วล่ะ หนอทำส่วนที่คิดว่าควรทำไปหมดแล้ว

วันถัดมาหนอได้อีเมลยาวเหยียดจากผู้รับผิดชอบ นางขอโทษขอโพยเสียจนคนอ่านแทบรู้สึกผิดที่ดันไปร้องเรียน เธอคนที่ตอบนี่ย้ำหนักแน่นมากว่าต้องการส่งเวาเชอร์มาให้หนอที่โรงแรม ขอให้ระบุที่อยู่มาในอีเมลตอบกลับด้วย

หนอกดตอบกลับอีเมลฉบับนั้นอย่างรวดเร็ว แต่เนื้อความไม่ได้มีการระบุที่อยู่ใด ๆ ให้ หนอตอบไปแค่ว่าขอบคุณที่ใส่ใจกับคำร้องเรียน และหนอขอแค่ให้ลูกค้าคนอื่นไม่ต้องมาไม่รู้สึก "พร่อง" เหมือนหนอก็พอ

(เอาจริง ๆ ในคำร้องเรียนเขียนไปค่อนข้างหนักแหละ ระบุว่าปัญหาเป็นที่ตัวพนักงานคนแรกที่รับออเดอร์ นั่นคงเป็นเหตุผลหลักที่แมคโดนัลด์เห็นเป็นเรื่องร้ายแรง จนต้องร่ายยาวกันขนาดนี้)

ก็นั่นล่ะค่ะ เรื่องราวของคุณผู้หญิงในแมคโดนัลด์ ทั้งหมดนี้คือหนอต้องการจะบอกว่า อะไรที่รู้สึกว่าถูกล้ำเส้นก็แสดงออกมาเถอะนะคะ ในอุตสาหกรรมการบริการ ฟีดแบ็กลูกค้าถือว่าสำคัญมาก มีอะไรที่คาใจก็บอกให้ทางบริษัทที่รับผิดชอบรู้ หนอเชื่อว่ามันช่วยหลายคนได้ในระยะยาว อย่างในกรณีนี้ก็มาตรฐานการบริการของทางร้าน และอาจจะเซฟความรู้สึกลูกค้าคนอื่นในอนาคตได้ด้วย

นี่หนอคิดเอาเองนะ หนออาจจะคิดผิดก็ได้...

May 2, 2016

London Episode 13: The Lady at Empire Cinema


ลอนดอนเป็นเมืองที่การเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์และการเข้าชมละครเวทีเป็นวัฒนธรรมที่เข้มแข็งหรือยังไงไม่ทราบ แต่หนอรู้สึกว่าวิถีการดูหนังของเขาไม่ค่อย "เร้าใจ" เท่าที่เมืองไทย โรงก็น้อย รอบก็น้อย หนังก็น้อย

หลังจากที่ดู High-Rise รอบพิเศษไปที่ Picturehouse Central หนอตัดสินใจลองเดินสำรวจโรงหนังในละแวกเดียวกันดู เผื่อจะได้มีประสบการณ์ดูหนังในโรงบ้านเขาอีกเรื่องสองเรื่อง

สิ่งที่ประทับใจจากเมื่อตอนที่ดู High-Rise ก็คือ การส่ง QR Code มาทางอีเมลตั้งแต่ตอนที่จอง ซึ่งเราจะพิมพ์อีเมลออกมาเพื่อนำไปยืนยันหรือจะแค่โชว์ Code ในมือถือให้เขาดูก็ได้ และเมื่อไปถึงหน้าโรงแล้ว เราจะไปขอให้เขาปรินต์ตั๋วออกมาหรือโชว์มือถือให้พนักงานดูเฉย ๆ ก็ได้ ง่ายสุด ๆ สะดวกสุด ๆ ไม่ต้องต่อคิว ไม่ต้องยุ่งยาก ไม่เสียเวลาเท่าที่เมืองไทย

วันนั้นเป็นวันธรรมดา Leicester Square ดูเหงา ๆ เหมือนว่าจะมีแต่นักท่องเที่ยวมาเดินเล่น และแม้ว่าแถวนั้นจะมีโรงหนังอยู่หลายเครือ แต่ผู้คนก็เลือกที่จะเดินผ่านไปผ่านมาหรือนั่งพักดื่มอะไรร้อน ๆ ริมทางเสียมากกว่า

หนอเดินเข้าโรงหนัง Empire เพื่อไปสอบถามรอบฉายประจำวัน ที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วนั้นมีพนักงานยืนอยู่ 1 คน เป็นผู้หญิงร่างสูงใหญ่ ผมสั้นสีบลอนด์ (อารมณ์ "เกวนโดลิน คริสตี" อะ) หน้าตาเธอเหมือนจะยิ้มแย้ม ไม่รู้สิ บางทีดูจากไกล ๆ ก็เดาไม่ถูกหรอกว่าคนคนหนึ่งจะพูดจาดีหรือเปล่า

ทันทีที่หนอก้าวพ้นประตู เธอคนนั้นกล่าวทักทายและยิ้มกว้างให้อย่างอารมณ์ดี ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า เธอเพิ่งดื่มกาแฟเข้าไป เพื่อที่จะเริ่มต้นวันอย่างกระฉับกระเฉง "ไม่ดื่มกาแฟนี่ทำงานแทบไม่ได้เลยนะคะ" เธอพูดขึ้น "จริงค่ะ ยิ่งอากาศเย็น ๆ แบบนี้ด้วย ไม่อยากขยับไปไหนเลย" หนอตอบไป

เธอคนนั้นจัดว่าอัธยาศัยดีแบบผิดที่ผิดทางทีเดียว จะเป็นเพราะเธอดื่มกาแฟมามากเกินไปหรือเปล่านะ ลักษณะเธอคล้าย ๆ คนที่ได้รับคาเฟอีนเกินขนาดยังไงไม่รู้สิ เอาเป็นว่าตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา หนอไม่เคยเจอพนักงานในอาชีพบริการในลอนดอนที่ดูกระตือรือร้นขนาดนี้

ระหว่างที่เธอชวนคุยสัพเพเหระ หนอสังเกตว่ามีเสียงหนุ่ม ๆ กลุ่มหนึ่งที่ยืนถัดไปทางประตูโรงด้านในดังขึ้นมาเป็นระยะ ๆ หนอไม่ได้หันไปดูว่าเป็นพนักงานที่นี่หรือเปล่า

แต่หลังจากนั้น ทุกจังหวะที่คุณผู้หญิงคนนี้เล่าอะไรให้หนอฟังแล้วทำมือทำไม้อลังการ จะมีเสียงหนุ่ม ๆ กลุ่มที่ว่านี้โห่ฮาขึ้นพร้อมกันไปด้วย แรก ๆ หนอคิดว่าเขาคงคุยกันเอง แต่พอเป็นอย่างนี้สัก 2-3 ครั้ง มันชักจะไม่ใช่แล้วไง นี่มันอารมณ์เดียวกับเด็กหลังห้องตะโกนแซวเด็กเนิร์ดแว่นหนาที่นั่งติดกระดานดำชัด ๆ

อย่างไรก็ตาม คุณคนที่คุยกับหนอนี่ไม่ได้สะดุ้งสะเทือนอะไรกับเสียงโห่ฮานั้น ทำให้หนอไม่แน่ใจว่าเธอเป็นเหยื่อของการโดน Abuse ในที่ทำงานหรือเปล่า และถ้าหนอหันไปปรามหรือทำอะไรสักอย่างกับเด็กหนุ่มพวกนั้น เมื่อหนอเดินออกไปแล้ว เธอจะโดนล้อเลียนหนักขึ้นหรือไม่

ทั้งหมดนี้อาจจะเป็นเส้นเรื่องที่หนอคิดไปเอง หรืออาจจะเกิดขึ้นจริงก็ได้ แต่มันก็ทำให้หนอมาคิดต่อว่าเรื่องน่าหดหู่แบบนี้มันเกิดขึ้นทุกทีจริง ๆ มันเกิดขึ้นในโรงเรียนกับเด็กเนิร์ด ๆ หรือเด็กที่แตกต่างจากคนอื่น มันเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัย มันเกิดขึ้นในที่ทำงาน

ทั้งที่คนที่โดนแซวโดนล้อก็ไม่ได้ทำอะไรที่น่าอายหรือผิดร้ายเลย แต่คนส่วนใหญ่ ณ ที่นั้น ๆ กลับเลือกที่จะ Bully คนคนเดียวหรือคนกลุ่มเล็กที่ไม่มีทางสู้ เพื่อให้ตัวเองดูเท่หรือมี Power ขึ้นมา

วันนั้นไม่มีหนังเรื่องที่หนออยากดูในรอบเวลาที่เหมาะ ๆ เลย น่าเสียดายมาก หนออยากจะอุดหนุนเธอคนนั้นมาก ๆ เพราะในวันที่เงียบเหงาอย่างนั้น เธอกลับอยากบริการลูกค้าอย่างเต็มที่ (ตรงกันข้ามกับโรงหนังที่อยู่ใกล้ ๆ กัน ที่ให้น้องคนสวยท่านหนึ่งนั่งเฝ้าตู้ขายตั๋วด้วยสีหน้าซังกะตาย ถามอะไรไปก็ตอบมาห้วน ๆ)

หนอได้แต่เดินออกมาจาก Empire ด้วยอารมณ์เซ็ง ๆ พร้อมกับหวังว่าวันหนึ่งจะได้กลับมาที่นี่อีก และหวังว่าเธอคนนั้นจะยังอยู่ที่เดิม "ไว้จะกลับมานะคะ" คือสิ่งที่หนอบอกเธอไป ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาอีกเมื่อไร หนอหันไปยิ้มกว้างให้เธอเป็นครั้งสุดท้าย หวังว่าการสนทนาที่หนอพยายามส่ง Energy กลับไปในระดับที่เธอส่งมาให้นั้น จะทำให้ 1  วันของเธอเป็นวันที่ดีได้

หนอหวังด้วยว่าชีวิตการทำงานโดยรวมของเธอจะไม่โหดร้ายเกินไปนัก และเธอจะสามารถหาความสุขจากแต่ละวันได้อย่างเต็มที่ เพราะสุดท้ายแล้ว คนแบบนี้นี่แหละที่จะทำให้คู่สนทนามีรอยยิ้มขึ้นมาได้ แม้จะไม่ใช่คนที่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวก็ตาม คนแบบนี้นี่แหละที่นายจ้างควรเก็บรักษาไว้ให้ดี แม้สิ่งที่เขาทำจะเล็กน้อยจนไม่ส่งผลโดยตรงต่อรายรับของบริษัทก็ตาม

วันนั้นขณะเดินทางกลับโรงแรมหนอนึกถึงร้านสตาร์บัคส์สาขาหนึ่งที่เกาหลี ที่ตั้งอยู่หน้าหอพัก และทำให้หนอต้องแวะก่อนไปเรียนทุกวัน แล้วก็นึกถึงตัวเองตอนเรียนม.ปลายด้วย แปลกดีนะที่คนแปลกหน้าคนหนึ่งสามารถดึงความทรงจำอะไรไม่รู้มากมายออกมาจากซอกหลืบสมองเราได้ (ไว้วันหลังจะเล่าให้ฟังนะ ขอติดไว้ก่อน)

ขอให้คุณโชคดีนะคะ คุณผู้หญิงผมบลอนด์ที่โรงหนัง Empire

April 18, 2016

London Episode 12: Emirates Stadium

วันนี้ลมแรงจัง 
พัดทีแทบล้มทั้งยืน 
นี่เรามาทำอะไรที่นี่วะ? 


หนอมาที่นี่เพราะ 1. หนอเชียร์อาร์เซนอล 2. พี่ชายหนอเชียร์อาร์เซนอล และ 3. หนอเคาะโลงบอกเพื่อนคนหนึ่ง (ในงานศพมัน) ว่าจะมาแวะที่นี่ให้ ที่ที่มันก็คงรู้สึกผูกพันไม่ต่างกับหนอ ในวันที่มันไม่มีโอกาสได้มาแล้ว

น่าแปลกเนอะ ที่คนเราจะรู้สึกผูกพันกับที่ที่ไม่ได้เกิดและเติบโต ทำไมความทรงจำมากมายถึงเกิดขึ้นในที่ที่ห่างไกลจากตัวเราเช่นนี้ หนอเชื่อว่าแฟนบอลอีกหลายล้านคนก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน เสียงหัวเราะและคราบน้ำตาทั่วโลกสามารถเกิดขึ้นได้จากปัจจัยไม่กี่อย่าง ภายในพื้นที่ไม่กี่ร้อยตารางเมตรแห่งนี้



วันก่อนที่หนอจะมานี่อาร์เซนอลเพิ่งตกรอบเอฟเอคัพ กร่อยชะมัด เอมิเรตส์สเตเดียมเลยให้อารมณ์พื้นที่รกร้างที่ถูกทิ้งขว้างโดยถ้วยแชมป์หลายรายการมาหลายสมัย ใกล้ ๆ ส่วนที่เป็นสนามแข่งมีพิพิธภัณฑ์อาร์เซนอลเปิดทำการแบบหงอย ๆ คนที่มาเยี่ยมเยือนไม่ค่อยสนใจส่วนนั้นเท่าไร อยากมาเซลฟีหน้าป้ายสนามเสียมากกว่า

การเดินจากสถานีอาร์เซนอลมายังส่วนที่เป็นสนามแข่งต้องผ่าน "สะพานลุงเคน" ที่ตั้งชื่อให้เป็นเกียรติแด่ตำนานสโมสรอย่าง เคน ไฟรอาร์ (Ken Friar) ผู้ที่เริ่มทำงานที่นี่ตั้งแต่อายุ 12 ในฐานะคนขายตั๋ว จนได้เป็นผู้บริหารในที่สุด เรียกว่าทำงานที่เดิมตลอด 60 กว่าปีเลยทีเดียว เจ๋งกว่านี้ไม่มีแล้ว


หนอเดินผ่านรูปปั้นลุงเคนเพื่อไปถ่ายรูปมุมต่าง ๆ ของสนาม ขณะเดียวกันนั้นก็พูดในใจว่า "มาให้แล้วนะแก" ไปตลอด มันจำเป็นมั้ยนะ แล้วไอ้ปัถย์จะรู้มั้ยว่าเราอยู่ตรงนี้

วันที่ปัถย์เสีย หนอไลน์คุยกับพ่อว่า "หนอส่งข้อความไปเมื่อวานว่าจะเที่ยวลอนดอน จะแวะสนามแทนมัน มันไม่ได้อ่านอะพ่อ..." พ่อตอบมาว่า "ฮื่อ คงบินไปเที่ยวเองแล้วล่ะ"

จริง ๆ คนตายแล้วคงไม่ได้ "คิวทาโร่" ขนาดนั้นหรอกมั้ง แต่ก็เป็นไปได้ว่ามันอาจจะมาเองแล้ว ไม่ต้องรอให้หนอมาเที่ยวแทน

สำหรับคนที่อยากมาเที่ยวบ้างไม่ยากเลยค่ะ นั่งรถใต้ดินขึ้นที่สถานีอาร์เซนอล เดินต๊อกแต๊กอีกนิดเดียวถึงเลย เป็นย่านที่อยู่อาศัยเงียบสงบมาก (ยกเว้นวันที่มีแข่ง)

ส่วนคนที่จะมาดูบอล กะเวลาดี ๆ ดูเวลาด้วยว่าเวลาไหนสถานีไหนปิด ข้อมูลทั้งหมดหาอ่านได้จากเว็บไซต์สโมสรเลยค่ะ จะซื้อตั๋วเดินทัวร์หรืออะไรก็ทำให้เรียบร้อยล่วงหน้า หวังว่าแฟนบอลทุกคนที่มาจะเต็มอิ่มกับประสบการณ์ที่ได้รับนะคะ

หวังด้วยว่า... จะได้สักแชมป์ (ก็หวังต่อไปเนอะ)