August 31, 2014

เขาไม่อยากเห็นเรารักกัน



การรักใครสักคนเป็นเรื่องกล้าหาญ
และเช่นเดียวกัน
การรักใครสักคน
ที่สังคมบอกว่าไม่ควรรัก
ก็นับเป็นเรื่องกล้าหาญอย่างยิ่ง

เมื่อไม่นานมานี้
ทีมข่าวที่ทำรายการ
เกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเลือก
ที่ตีแผ่ประเด็นสังคมหลากหลายด้าน
ได้รับแจ้งว่าเนื้อหาบางส่วนออกอากาศไม่ได้

ที่ว่า ออกอากาศไม่ได้
ก็เรียกง่ายๆ ว่าโดนเซ็นเซอร์นั่นแหละ
ซึ่งทุกคนแปลกใจมาก
เพราะเนื้อหาและภาพทั้งหมด
มาจากภาพยนตร์ที่มีการจัดฉายจริง

สิ่งที่จัดฉายในประเทศได้
จะ ออกอากาศทางจอโทรทัศน์ไม่ได้
ได้อย่างไรกัน?
ต้องมีอะไรเข้าผิดกันแน่ๆ
ต้องสื่อสารกันผิดพลาดแน่ๆ

ปรากฏว่า
มีการบอกกล่าวเรื่องตัด/เบลอภาพจริง
โดย เขา ไม่ต้องการให้
ภาพ ผู้ชายเดินจับมือกัน ออกอากาศไป
ขณะที่ ภาพชายหญิงจูบกันนั้นไม่เป็นไร

ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดคำถาม
ว่าสังคมนี้เปิดรับความหลากหลายทางเพศจริงหรือ?
ในขณะที่ทั้งโลกมองว่าเมืองไทยคือสวรรค์
ของผู้มีความหลากหลายทางเพศ
มีการผ่าตัดข้ามเพศ มีการประกวดความงาม

น่าแปลกใจที่คนยังไม่ยอมรับ
สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสังคมอยู่มาก
ไม่ใช่ออกมาโวยวายว่าไม่ต้องการให้มีนะ
คือรู้ว่ามี... แต่ไม่อยากเห็น
คิดไปว่าภาวะที่แตกต่างนั้น ผิดปกติ

ต้องรอถึงเมื่อไร
คนส่วนใหญ่
หรืออย่างน้อย ผู้ที่มีอำนาจ (aka หน่วยเซ็นเซอร์)
ถึงจะมองแล้ว เห็น ถึงความเป็นจริง
มองคนให้เป็นคนได้เสียที

ชายรักชายแล้วยังไง?
เป็นทอมแล้วยังไง?
เคยชอบผู้ชายแต่เปลี่ยนไปชอบผู้หญิงแล้วยังไง?
เป็นตุ๊ดเป็นเกย์แต่มีลูกกับผู้หญิงแล้วยังไง?
ในเมื่อเพศสภาพเป็นสิ่งที่ Fluid / เปลี่ยนแปลงได้ตลอด

นอกจากประเด็นความหลากหลายทางเพศแล้ว
ยังมีการเซ็นเซอร์ที่ไร้ความจำเป็น
และไม่ Make Sense อีกมาก
ทั้งการ เบลอ สะดือคนที่ใส่เสื้อเอวลอย
ทั้งการ เบลอ ขอบชุดว่ายน้ำส่วนใกล้เนินอก

ต้องยอมรับจริงๆ ว่า
หน่วยเซ็นเซอร์ประเทศเรา
สามารถทำให้สิ่งที่ไม่โป๊ดูโป๊มากไปได้ทันที
ด้วยข้อกำหนดที่ไม่ผ่าน กระบวนการไตร่ตรองที่ดีเหล่านี้
สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ต้องเผชิญอยู่ทุกที่ ทั้งโทรทัศน์ทั้งภาพยนตร์

* ขอระบุนิดหนึ่งว่า
หน่วยเซ็นเซอร์อะไรที่ว่านี้
ไม่ใช่หน่วยระดับประเทศ
(ซึ่งจุดนี้ก็ไม่รู้ว่าเปิดกว้างกว่าแค่ไหนน่ะนะ)
แต่เป็นหน่วยระดับภายในองค์กรเอกชนกันเอง

อีกนานแค่ไหน
กว่าที่คนเราจะเท่ากัน
กว่าที่คนจะมองกันเอง
แล้วเห็น คนที่เต็มคน
ในแบบ ใจเขาใจเรา

การรักใครสักคนเป็นเรื่องกล้าหาญ
และเช่นเดียวกัน
การรักใครสักคน
ที่สังคมบอกว่าไม่ควรรัก
ก็นับเป็นเรื่องกล้าหาญอย่างยิ่ง

August 17, 2014

วันที่ถูกกำหนดมาแล้ว


หลายครั้งที่หนอนั่งสงสัย
ว่าทำไมบางเหตุการณ์ถึงไม่เกิดขึ้น
อย่างที่มันควรจะเกิด
บางสิ่งที่ควรเกิดขึ้นในชีวิตเรา
กลับไม่เคยปรากฏ
อย่างที่มันปรากฏในชีวิตคนอื่น

มันก็จริง
ที่ว่าทุกคนต่างก็มีชีวิตของตัวเอง
ไม่มีชีวิตใครซ้ำกัน
ไม่มีชีวิตใครแทนค่าลงในชีวิตใครได้
ทุกคนมี Timing ของตัวเอง
ทุกสิ่ง - ในชีวิตทุกคน - มี Timing ของมันเอง

บางครั้งหนอก็คิดนะ
ว่าหลายเหตุการณ์รอจังหวะที่จะเกิดขึ้น
ไม่ได้เป็นอย่างที่มันควรจะเป็น
ไม่ได้เป็นไปตามกระแสสังคม
แม้แต่เรื่องที่ว่า
เราควรดูหนังสักเรื่องตอนไหน?

ปกติ หนอดูหนังตั้งแต่สัปดาห์แรกๆ ที่มันเข้า
ยกเว้นว่าจะเป็นการดูแบบไม่ได้ตั้งใจดู
คือดูฆ่าเวลา ดูแก้เบื่อ
อันนั้นก็แล้วแต่ว่าโรงหนังสาขาที่ไปมีอะไรฉาย
สำหรับเรื่องที่ตั้งใจไปดู ทั้งในและนอกกระแส
มักเกิดขึ้นจากการ Plan ไว้แล้วว่าจะดู

หนึ่งเรื่องที่เคย Plan แบบลางๆ
บวกด้วยแรงโถมจากกระแสสังคม
ก็คือ Begin Again
แต่จะด้วยเหตุใดก็แล้วแต่
หนอกลับไม่ได้รู้สึกอยากไปดู
แล้วก็ตัดใจไปเสียอย่างนั้น

ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทุกคนที่ตาม ทั้งในทวิตเตอร์ ทั้งในอินสตาแกรม
ต่างพากันอัพรูปและแคปชั่น
เป็นบท เป็นเนื้อเพลงจากหนัง
แต่นั่นก็ไม่ได้จูงใจให้หนอไปดูเท่าไร
ทั้งที่ชอบมาร์ก รัฟฟาโร กับ เคียรา ไนต์ลี เป็นทุนเดิม

------

เมื่อวานนี้
เป็นวันที่ดีที่สุด
สำหรับหนอ
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
ทั้งที่กิจวัตรก็เดิมๆ
วันหยุดหนึ่งวันในสัปดาห์ของนักข่าว

หลายคนแปลกใจที่รู้ว่า
หนอทำงานสัปดาห์ละ 6 วัน
ซึ่งจริงๆ ก็ไม่แปลกนัก
ในสังคมนักข่าว
คนอื่นๆ แค่ไม่คุ้นเคย
'วันอาทิตย์จะทำงานทำไม?' เขามักถามกัน

ความโชคดีเรื่องวันหยุดของหนอ
จะมีอยู่นิดหนึ่ง
ก็ตรงที่ 'โต๊ะข่าวต่างประเทศ' ของที่ช่อง
มีบุคลากรมากพอที่จะสามารถสลับกันหยุดได้
ก็คือนักข่าวแต่ละคนจะต้องทำงาน 6 วัน
แค่สัปดาห์เว้นสัปดาห์

ซึ่งการทำงาน 5 วันบ้าง 6 วันบ้าง
ก็ไม่ได้ทำให้หนอเปลี่ยนกิจวัตร
หรือพยายามนัดเจอเพื่อนสักเท่าไร
หนอยังชอบที่จะไปไหนมาไหนคนเดียว
อ่านหนังสือ ดื่มกาแฟ
ซื้อของ เดินห้าง ดูหนัง

แล้วเมื่อวานนี้หนอทำอะไรบ้างน่ะเหรอ?
ดื่มกาแฟ - ตามปกติ
อ่านบทความเตรียมเอาไปเขียนสกู๊ป - ปกติ
สั่งน้ำผลไม้คั้นสด - ไม่บ่อย แต่นับว่าปกติ
ดูหนัง - ก็ยังปกติ
ช้อปปิ้ง - ไม่บ่อยเท่าดูหนัง แต่ก็ยังปกติ

ที่นี้ การตัดสินใจดู Begin Again
หลังจากกระแสซาไปแล้วนี่
นับว่าผิดปกติ - ผิดฟอร์ม - ไปบ้าง
แต่ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมาย
เพราะเรื่องอื่นไม่มีอะไรน่าดูเลย
ในความคิดหนอน่ะนะ

------

ทุกอย่างคงมี Timing ของมันจริงๆ
ที่การเดินเข้าโรงไปดู Begin Again
เป็นวันที่หนอตัดสินใจตัดขาดจากบางอย่าง
คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่ไหม?
กับการที่รอจนป่านนี้
จนมาถึงวันที่หนังจะมีความหมายสอดคล้องกับชีวิตเราขนาดนี้

Begin Again เป็นหนังที่ดูสบายที่สุด
ในรอบหลายปีมานี้
ซึ่งหนอไม่ได้รู้สึก Peak นะ
ไม่ได้กรี๊ด ไม่ได้อะไร
แต่รู้สึกว่าดูแล้วอิ่มเอมดี
ดูแล้วอยากเริ่มชีวิตดีๆ ใหม่อีกครั้ง

บางที... ความรู้สึกของคนเรา
ก็เป็นพันธนาการกับตัวเองนะ
แล้วถ้าเราหลุดจากพันธนาการนั้นได้
เราก็จะสบายใจเอง
ซึ่งบางที... พันธนาการที่ว่า
ก็มาในรูปของ 'หลุมรัก'

หลุมรักที่ลึก มืด และไม่มีก้นบึ้ง
ตกลงไปนานๆ ก็เคว้งคว้างนะ
ไม่มีแสงสว่าง
ไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่มีอนาคต
จะอยู่ในนั้นนานๆ ทำไม

ความรักในที่นี้
ไม่ได้หมายถึงความรักจิ๊จ๊ะหนุ่มสาว
คบหากันเป็นแฟน
หรือแอบชอบกันในแบบนั้นเท่านั้นนะ
แต่ยังรวมถึงความรู้สึกดีๆ
ความเอ็นดู ความเป็นห่วง อะไรอย่างนี้ด้วย

หลุมรัก หลุมเอ็นดู หลุมห่วง อะไรเหล่านี้
จะทำให้เราอกหักได้เมื่อไรกัน?
ก็เวลาที่อีกฝ่ายไม่ Reciprocate ไง
ไม่ทำเหมือนกัน ไม่คิดเหมือนกัน
ไม่สนใจที่จะตอบสนองในทิศทางเดียวกัน
ก็แค่นั้นล่ะ หลักการง่ายๆ

------

สรุปว่า
หนอตัดสินใจเดินออกมา
จากความสัมพันธ์ผิวเผินอันหนึ่ง
ไม่ใช่แบบชู้สาวหรอกนะ
แล้วก็ไม่ได้มีใครทำอะไรใคร
เพียงแต่หนอรู้สึกถูก Treat แบบไม่สมควรก็เท่านั้น

และเท่าที่หนอรู้
หนอก็พยายามทำทุกอย่างแล้ว
ที่จะให้ความสัมพันธ์และบรรยากาศ
- ระหว่างตัวหนอกับเขาคนนั้น - ดีขึ้น
แต่มันดูเกินจะเยียวยาแล้ว
และเขาก็คงไม่ต้องการ

แม้ว่ามันจะดูห้วนและเย็นชา
แม้ว่ามันจะดูเหมือนเป็นไปไม่ได้
ที่อยู่ดีๆ หนอจะรู้สึกเบื่อหน่าย
คนที่หนอเอ็นดูมาตลอดได้ขนาดนี้
แต่มันก็เป็นไปแล้ว
มันคงเป็นวันที่ถูกกำหนดมาแล้ว

ให้คิดได้
ให้ลุกขึ้นปลดพันธนาการ
ให้ปีนขึ้นจากหลุมรัก
ให้ไปดูหนัง
ให้อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่
ให้อยากมีชีวิตที่ดี และเคารพตัวเองให้มากๆ

การเคารพตัวเองนี่สำคัญนะ
หลายคนคิดว่า
การทำดีกับคนอื่นสำคัญที่สุด
การรักษามารยาทสำคัญที่สุด
แต่สิ่งเหล่านั้นควรต้องควบคู่ไปกับ 'การเคารพตัวเอง'
ไม่ใช่ว่าไปผูกตัวเองไว้กับคนอื่นทุกอย่าง

ถ้าจะมีข้อคิดอะไรที่หนอได้จากหนังเรื่องนี้
ก็คงเป็นประมาณนี้ล่ะ
กล้าที่จะเริ่มต้นใหม่
และตัดสินใจในสิ่งต่างๆ แบบเคารพตัวเอง
ถ้าชีวิตไม่ดี ก็ลองเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตดู
ถ้าบรรยากาศรอบตัวไม่ดี ก็ลองเปลี่ยนผู้คนที่แวดล้อมดู

------

สิ่งต่างๆ ในชีวิตหนอคงมี Timing ของมันแหละเนอะ
มันมีคนที่ถูกกำหนดมาแล้ว - ให้ตกค้างอยู่ในชีวิต
มันมีคนที่ถูกกำหนดมาแล้ว - ให้หล่นหายไปจากชีวิต
และมันก็มีวันที่ถูกกำหนดมาแล้วเช่นกัน
ให้เราต่างพบเจอ ตกค้าง และหล่นหายไปจากกัน
ใช่ไหม?