March 15, 2015

ว่าด้วยการขอขึ้นค่าตัว


ในช่วงสัปดาห์สองสัปดาห์ที่ผ่านมา
เรื่องที่กลายเป็นข่าวบันเทิงฮอลลีวูด
ที่ถูกพูดถึงตั้งแต่ฝั่งอังกฤษมาจนถึงสหรัฐฯ
ก็คือข่าวการขอขึ้นค่าตัวของนักแสดงนำ
หนัง Fifty Shades of Grey
ในการรับเล่นภาคต่ออีก 2 ภาค
ซึ่งจริงๆ เคยมีข่าวว่าผู้สร้างได้ขึ้นค่าตัวให้แล้ว
แต่ไม่มีสื่อฮอลลีวูดพูดถึง
จนพอมาเป็นข่าวอีกครั้ง
ก็เลยนำเสนอในทำนองเดียวกันหมด
เนื้อข่าวมีประมาณว่า
Dakota Johnson และ Jamie Dornan
ขอขึ้นค่าตัวสำหรับภาคต่อเป็นเลข 7 หลัก
ตามสูตรสำเร็จของหนังไตรภาคอื่นๆ
ที่นักแสดงโดนกดค่าตัวในภาคแรกเหมือนๆ กัน
เพราะไม่รู้ว่าหนังจะออกมารุ่งหรือร่วง
นอกจากนี้ทุกรายงานของสื่อฮอลลีวูด
ยังเน้นย้ำที่การกวาดรายได้ถล่มทลายทั่วโลก
ที่ขณะนี้อยู่ที่ราว 530 ล้านดอลลาร์
เท่ากับว่าหนังทำกำไรแล้ว 490 ล้านดอลลาร์
เพราะงบการผลิตอยู่ที่ 40 ล้านดอลลาร์เท่านั้น

แต่การขอขึ้นค่าตัวของนักแสดงนำทั้งคู่
มีเหตุผลมาจากรายได้สุทธิของหนังเท่านั้นหรือ?
ในเมื่อหนังภาคแรกถูกวิจารณ์ในเชิงลบค่อนข้างมาก
สวนทางกับรายได้ถล่มทลายที่ได้รับ
ทั้งเรื่องการแสดงที่ไม่โดดเด่น
และฉากเลิฟซีนที่ไม่ดึงดูดอารมณ์เท่าที่ควร
เพราะฉะนั้น จนถึงตอนนี้
ยังไม่มีอะไรการันตีว่าภาคต่อที่เหลือ
จะประสบความสำเร็จมากเท่าๆ กับภาคแรก
ยิ่งไปกว่านั้น นักวิจารณ์ต่างชาติจำนวนหนึ่ง
ยังออกมาแสดงความเห็นว่า Dakota และ Jamie
ไม่ควรได้รับค่าตัวมากถึง 7 หลัก
แม้จะสมควรได้รับการขึ้นค่าตัวบ้างก็ตาม
แต่ก็ควรเป็นไปตามเนื้องานและฝีมือการแสดง
ไม่ใช่แค่ดูจากรายได้ของหนังเพียงอย่างเดียว
ซึ่งในฐานะคนที่ติดตามข่าวเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้
นับตั้งแต่ออกฉาย จนมีข่าวลือ
และจนมีการแก้ข่าวหลายตลบ
หนอไม่คิดว่าการขอขึ้นค่าตัว
จะมาจากรายได้ของหนัง
หรือเป็นการขอขึ้น 'ตามสูตร' เพียงอย่างเดียว

หนอคิดว่ากระแสข่าวหนึ่ง
(ซึ่งก็คงมีมูลอยู่บ้าง)
ที่มีน้ำหนักอย่างมากก็คือ
กรณีที่ผู้กำกับของเรื่องอย่าง Sam Taylor-Johnson
จะไม่กลับมากำกับภาคต่อ
เนื่องจากขัดแย้งกับ E L James ผู้เขียนนิยายบ่อยครั้ง
และ E L James (ซึ่งชื่อจริงคือ Erika)
ก็เข้ามาวุ่นวายระหว่างการถ่ายทำ
และตั้งคำถามกับทุกรายละเอียด
จนทำให้ Sam ไม่สามารถสร้างผลงานได้เต็มที่
ซึ่งเกือบทุกครั้งที่ Erika และ Sam เห็นไม่ตรงกัน
Dakota และ Jamie จะเข้าข้าง Sam มากกว่า
แม้การเข้าข้างนั้นจะไม่มีประโยชน์เท่าไรก็ตาม
เพราะสุดท้าย Erika ยังคงมีอำนาจตัดสินใจเสมอ
ตามข้อกำหนดที่เธอได้ทำไว้กับบริษัท Universal
นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
หาก Sam จะไม่กลับมากำกับหนังชุดนี้ต่อจริง
เพราะเธอมี Background ความเป็นศิลปินที่ครบเครื่อง
ทั้งยังสามารถทำให้นักแสดงของเธอ
สบายใจที่จะเข้าฉากที่น่าอึดอัดได้เสมอ
ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ยากจะหาคนทดแทน

นอกจากนี้ ยังมีกระแสข่าวว่า
Erika ต้องการเขียนบทหนังภาคต่อเอง
หลังจากที่ต้องเปลี่ยนคนเขียนบทภาคแรกกลางคัน
เนื่องจากทำงานไม่ได้ดั่งใจ
โดยเธอต้องการให้มีบทเลิฟซีนโฉ่งฉ่างกว่านี้
สมกับที่แฟนๆ หนังสือนิยายรอคอย
ไม่ต้องสนใจว่าตลาด Mass จะรับได้มากแค่ไหน
ซึ่งก็มีคนมองว่าวิธีนี้อาจจะ 'เวิร์ก'
เมื่อดูจากความสำเร็จของหนังอย่าง Gone Girl
ที่ผู้เขียนมารับหน้าที่เขียนบทหนังด้วย
และก็ได้รับเสียงตอบรับที่น่าพอใจ
ทั้งยังสามารถเก็บแง่มุมความน่าค้นหาได้ครบถ้วน
ตามหนังสือนิยายทุกประการ
แต่ส่วนใหญ่กลับคิดว่าไอเดียนี้ไม่น่าจะดีนัก
เพราะ Erika ไม่มีประสบการณ์มาก่อน
และถ้านับว่าความจุ้นจ้านของเธอ
ทำให้กองถ่ายทำต้องสะดุดลงหลายครั้ง
ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องแล้ว
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ Universal ควรต้องมารับมืออีก
อย่างไรก็ตาม Universal อาจไม่มีทางเลือกมากนัก
เพราะได้หลวมตัวทำข้อตกลงกับเธอไปแต่แรก

ถ้าถามความเห็นของหนอ
ประเด็นผู้กำกับจะไม่กลับมา
และประเด็นผู้เขียนขอเขียนบทหนังเอง
มีน้ำหนักมากในการขอขึ้นค่าตัวในครั้งนี้
เพราะคงไม่มีนักแสดงที่ไหนจะอยากเสี่ยง
เล่นบทวาบหวิวสุดโต่งกับทีมงานที่ไม่คุ้นเคย
และเริ่มทำงานด้วยความรู้สึกที่ว่า
'ไม่รู้ฉันจะต้องเจออะไรบ้าง'
แม้ว่าหนังจะมีแนวโน้มทำเงินมาก
และเป็นประตูไปสู่โอกาสอื่นๆ
(งานดีๆ) ที่จะเข้ามาก็ตาม
เพราะฉะนั้น 'เงิน' ดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
ที่จะสามารถแลกกับ 'ความเปลืองตัว'
และ 'ความไม่มั่นใจในอนาคต' เหล่านี้ได้
ซึ่งแน่นอน ต่อให้สิ่งที่หนอเดาเป็นเรื่องจริง
ก็คงไม่มีใครเอามาเขียนข่าว
เพราะการไปตอกย้ำประเด็นที่อยากซุกซ่อนไว้
ไม่ใช่เรื่องที่บริษัทผู้สร้างไหนต้องการ
ปัญหาระหว่างทีมงาน
ปัญหาการหลวมตัวตกลงดีลที่เสียเปรียบ
ไม่ใช่เรื่องที่ Universal ต้องการ

หลังจากนี้ ต้องมาติดตามกันว่าต้นปีหน้า
 Fifty Shades Darker จะได้เปิดกล้องจริงหรือไม่
และเนื้อเรื่องที่เข้มข้นน่าติดตาม
ทั้งดราม่า แอ็กชั่น ทริลเลอร์
จะถูกรวมเข้ามาในบทหนังมากหรือน้อย
และยังต้องรอลุ้นกันอีกว่า
จะเกิดความขัดแย้งอะไรในกองถ่าย
จนเป็นที่มาของข่าวลือประหลาดๆ อีกหรือเปล่า
นอกจากนี้แล้ว
ขั้นตอน Post-production จะต้องล่าช้า
เพราะมัวแต่ตัดแต่งรายละเอียดบนตัวนักแสดง
จนทำให้เลยกำหนดเข้าฉาย
วาเลนไทน์ปี 2017 หรือไม่
และตัวหนังจะดีพอ
ให้ผู้ชมเข้าไปชมในโรงฉาย
ตามเป้าหมายที่ทีมผู้ผลิตต้องการได้ขนาดไหน
คงมีแต่เวลาที่จะตอบคำถามเหล่านั้นได้
และแฟนหนังอย่างพวกเรา
คงต้องรอให้ถึงเวลานั้นอีกที
หวังว่าผลงานที่ออกมาจะคุ้มค่าตัวนักแสดง
และคุ้มค่าตั๋วหนังในแต่ละประเทศที่เข้าฉาย

---------------------

Blog นี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัว
ไม่เกี่ยวกับสำนักข่าวต้นสังกัด
(Voice TV) แต่อย่างใด

March 3, 2015

ค่าใช้จ่ายของคนขี้รำคาญ

หนอเป็นคนชอบดูหนัง
และแม้ว่าจะมีแนวที่ชอบเป็นพิเศษ
แต่ก็ถือว่าดูได้ทุกแนว
ขึ้นอยู่กับว่าช่วงนั้นหนังอะไรเข้าบ้าง
วันเวลาสะดวกหรือไม่
สภาพอากาศเป็นยังไง
และพร้อมจะเสียเงินให้หนังเรื่องนั้นๆ มากเท่าไร
คำว่า 'เสียเงินให้มากเท่าไร' ในที่นี้
หมายถึงว่า เสียเงินไปกับตั๋วที่นั่งละเท่าไร
เช่น ถ้าเป็นหนังประเภทที่ควรดู IMAX ก็ดู
ถ้าชอบมากแบบยอมจ่ายตั๋วนอน ก็ต้องไม่เสียดาย
หรือถ้าไม่คิดอะไรมากก็ไป APEX ถูกกว่าโรงห้าง

ทั้งนี้ทั้งนั้น แต่ละเครือแต่ละห้าง
ก็จะมีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกันไป
โรงตามห้างส่วนใหญ่คนเยอะ
ถ้าไม่จองออนไลน์ก็อาจต้องรอคิวนาน
หรือถึงจองออนไลน์มา
ก็อาจต้องเดินฝ่าคนพลุกพล่านอยู่ดี
แต่ข้อดีคือ (ห้างที่หนอมักไป)
ไม่เปียกฝน เดินจากบีทีเอสเข้าห้างได้เลย
ส่วนโรง APEX (สกาล่า - ลิโด้)
ราคาดี รอบดี ที่นั่งดี
แต่ถ้าอากาศแย่ๆ จะขี้เกียจเดินมาก
ไม่ว่าจะร้อนไป หนาวไป หรือฝนตกก็ตาม

ทีนี้ ข้อเสียที่ทุกที่ที่กล่าวมามีเหมือนกันก็คือ
'โฆษณาปัญญาอ่อน'
ซึ่งจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามฤดูกาล
(ตามสัญญาซื้อขายโฆษณาของสปอนเซอร์)
และแน่นอน โฆษณาบางชิ้นนอกจากจะน่ารำคาญแล้ว
ยังเบียดบังเวลาดูตัวอย่างหนัง ซึ่งหนออยากดู
จนทำให้กว่าหนังจะฉายจริงก็กินไปครึ่งชั่วโมง
เจออย่างนี้บ่อยๆ เข้า
คนที่ทำอะไรตรงเวลามาตลอดชีวิตก็เซ็งเหมือนกัน
นี่ยังไม่นับเพื่อนร่วมโรงที่มาสาย เสียงดัง เล่าหนัง
คุย/เล่นมือถือ เอาเด็กเล็กมาดู จนส่งเสียงดังรบกวน

เมื่อมารยาทสังคมเป็นสิ่งที่หาได้ยาก
และเมื่อสามัญสำนึกไม่ใช่เรื่องสามัญ
หนอว่าบางที
มาแก้ที่ตัวเราเองก็เป็นอีกทางออกที่ดี
ซึ่งนั่นก็ทำให้การดูหนังโรงแพง - ที่นั่งน้อย
กลายเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่า
และน่าพึงพอใจ
แต่แน่นอนว่า
อย่าเลือกดูหนังที่คิดว่าดูแล้วจะเสียดายเงิน
(หรือถ้าไม่ค่อยแคร์เรื่องเงินก็ดูๆ ไปเถอะค่ะ 555)
ล่าสุด หนอเพิ่งได้ไปใช้บริการสองโรงใหม่มา
Embassy Diplomat Screens กับ
Emprive Cineclub

โรง Embassy นี่เปิดมาสักพักแล้วค่ะ
แต่เพิ่งจะได้มาดู
ข้อเสียก็แน่นอน ราคาสูงกว่าโรงทั่วไป
แต่ข้อดีคือ เป็นโรงที่คนไม่แออัด
ที่นั่งในโรงไม่เยอะด้วย
และคนนอกโรง/ในตัวห้างก็ไม่เยอะด้วย
นอกจากนี้ โฆษณาก็ไม่เยิ่นเย้อ
มีตัวอย่างหนัง มีสปอนเซอร์หลักๆ แล้วก็จบ
สรรเสริญพระบารมี - ดูหนัง - สบายใจ
ติดนิดนึงตรงที่โรงใหญ่ซื้อที่เดียวได้แค่ด้านหน้า
ซึ่งใกล้จอมาก แต่พนักงานก็จะพยายามเปลี่ยนให้
ถ้าที่อื่นๆ ไม่มีคนนั่ง ก็จะขลุกขลักนิดหน่อย

ส่วนโรง Emprive ที่ Emporium
หนอดูมาตั้งแต่เป็น SFX จนเพิ่งมาเปลี่ยน
ราคาไม่สูงเท่า Embassy
และความสบายก็ถือว่าเพียงพอ
ติดตรงที่ต้องแยกจุดซื้อตั๋ว
ที่ธรรมดาเคาน์เตอร์นึง
ที่แพงผิดปกติอีกเคาน์เตอร์นึง
ทำให้งงๆ ตอนไปครั้งแรก
นอกนั้นก็ไม่มีอะไรไม่ประทับใจ
แต่ด้วยความที่ที่นี่เป็นโรงที่พลุกพล่านอยู่แล้ว
คือมีฝรั่ง มีครอบครัว มีเด็ก มีอะไรต่างๆ
ก็จะมีวันที่บรรยากาศแออัดนิดนึง แต่ก็พอทน

สรุปแล้ว ทั้งหมดนี่คือค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ของคนที่ขี้รำคาญแบบหนอ
ซึ่งโดยส่วนตัวหนอว่าก็คุ้มค่าดี
แต่มันไม่ใช่นิสัยที่ดีหรอกนะ
ความขี้รำคาญน่ะ
หลายๆ ครั้งมันทำให้อยู่ยาก
ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขยาก
ในกรณีนี้การจ่ายมากกว่ามันช่วยได้
แต่ในกรณีที่ไม่มีอะไรช่วยได้
ทำได้อย่างเดียวคืออดทนจริงๆ
ทน จนกว่าสิ่งที่น่ารำคาญจะผ่านไป
หรือไม่ก็ทน จนกว่าเราจะเก่งขึ้น

Happy Birthday to me.
It's been an interesting year.
An interesting 28th year, I mean.
Just this one whole year.