สวัสดีค่ะ :)
หนอกลับมาแล้ว
หายไปนานเลย
จนไม่รู้ว่าควรเริ่มตรงไหน
นี่เป็น Blog แรกของปีนี้เลยนะคะ
ใช้เวลานานมาก
กว่าที่จะกลั่นออกมาได้
กว่าที่จะ ‘กล้า’ กลั่นออกมาได้
ทำไมน่ะเหรอ?
ก็กลัวว่ามันจะไม่ดีพอน่ะสิ
ช่วง 3 เดือนกว่าที่ผ่านมา
ในหัวหนอมีเรื่องเยอะแยะ
การเป็นนักข่าวทำให้หนอเขียนอะไรเร็วขึ้น
แต่มันก็ฉาบฉวย
คือแปลข่าวสถานการณ์ปัจจุบันได้
แต่ทักษะการ ‘ระบายออก’ แบบ
Blog หนอต่ำลง
หลายครั้งที่หนออยากเขียนอะไรสักอย่าง
มันก็จะปัดเป็นประเด็นการเมือง
ความขัดแย้ง ความไม่ลงรอย
หนอเลยพับโครงการอัพ Blog ไปหลายรอบ
เอาเป็นว่านี่จะเป็น ‘ประตูปลดล็อก’
ก็แล้วกัน
หนอจะเริ่มจากการเล่าสู่กันฟัง
ว่าตั้งแต่ขึ้นปี 2557 มา
หนอได้เรียนรู้อะไรมาบ้าง
ปีนี้ไม่เหมือนปีไหนๆ ที่เคยผ่านมาเลยค่ะ
ไม่ใช่เพราะโตขึ้น
ไม่ใช่เพราะมีงานทำเป็นหลักแหล่ง
ไม่ใช่เพราะต้องอยู่เวรช่วงวันสิ้นปี
แต่ปีนี้เป็นปีแรก
ที่หนอไม่ได้ขอพรอะไรเลย
ไม่ได้อยากมี ไม่ได้อยากเป็น
ไม่ได้รู้สึกต้องการขออะไรเลย
หนอจำได้ว่าเดินอยู่บนสกายวอล์ก
ตรงสี่แยกราชประสงค์
ผ่านพระพรหมที่คนมากมายมาสักการะ
แล้วก็นึกกับตัวเองว่า ‘เราจะไม่ขออะไรหน่อยเหรอ?’
ไม่เลย
หนอเดินผ่านไป
ผ่านบรรยากาศเดิมๆ ไป
ด้วยความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิม
เดือนมกราคมหนอทะเลาะกับรุ่นน้องค่ะ
ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
ความจริงตัวปัญหามันแทบไม่มีอะไรเลย
เราสองคนแค่มีวิธีรับมือที่แตกต่างกัน
หนอรู้ดีว่าการแก้ปัญหาด้วยการเจรจาไม่ได้ผล 100%
นั่นคือ มันใช้ไม่ได้ผลกับทุกคน
แน่นอนว่าคนที่พูดคุยกันมากขึ้น
มีแนวโน้มที่จะเข้าใจกันมากขึ้น
แต่ในทางกลับกัน
มันก็มีแนวโน้มที่จะยิ่งไม่เข้าใจกันมากขึ้นด้วย
แม้จะไม่มากก็ตาม
แต่ถึงอย่างนั้น หนอก็เลือกที่จะพูดออกไปอยู่ดี
สุดท้ายหนอก็พูดออกไป
เคลียร์ทุกอย่างที่ต้องเคลียร์
ในเวลาที่ควรเคลียร์
หรืออย่างน้อย
หนอก็คิดเอาเองว่าเป็นเวลาที่ควรเคลียร์
ทีนี้ฝ่ายตรงข้ามเป็นคนที่ถ้าไม่พูดก็คือไม่พูด
ยิ่งโดนจี้โดนเค้นก็ยิ่ง Fight
และยิ่งไม่ปริปาก
ซึ่งกว่าจะรู้ตัวว่าวิธีแก้ปัญหาแบบหนอนั้นใช้ไม่ได้
เราก็ถลำลึกลงไปในความแตกหักยิ่งกว่าเดิมเสียแล้ว
หนอรู้สึกว่าตัวเอง ‘บาดเจ็บ’
จากเหตุการณ์วันนั้น
และยิ่งรู้สึกบาดเจ็บกว่าเดิมเมื่อนึกถึงบุคคลคนเดียวในชีวิต
ที่วิธีการเจรจาปรับความเข้าใจไม่เคยได้ผลออกมาดีเลย
... แม่
อีกอย่างที่ทำให้รู้สึกไม่ดี
คือน้ำเสียงที่หนอได้ยิน
มันไม่ได้แย่
แต่มัน ‘ห้วน’ ผิดปกติ
มันคงเป็นปัญหาส่วนตัวของหนอเอง
หนอมีปัญหากับคนที่พูดด้วยน้ำเสียงไม่ดี
หรืออย่างน้อย ก็ไม่ดีกว่าปกติที่เคยเป็น
อีกครั้งที่หนอนึกถึงอีกคนในชีวิต...พี่ชาย
น่าแปลกที่คนคุ้นเคยแบบผิวเผิน
อย่างรุ่นน้องคนนี้
ทำให้หนอนึกถึงบุคคลในครอบครัวได้ขนาดนี้
คงมีคนแบบนี้อยู่เยอะสินะ เพียงได้หนอไม่เคยเจอ
จากเหตุการณ์วันนั้น
หนอรู้สึกได้ถึงความลำบากใจของฝ่ายตรงข้าม
และตัดสินใจว่าทุกอย่างจะง่ายขึ้น
ถ้าหนอหลีกเลี่ยง ‘พื้นที่ปะทะ’
และไม่ไปเจอหน้าเขาอีก
เวลาผ่านไป
แบบที่แต่ละวันดูยาก
และเต็มไปด้วยอุปสรรค
ทำไมมันถึงยากขนาดนี้นะ?
หนอเป็นคนที่ไม่เคยลังเล
ที่จะเดินออกไปจากชีวิตใคร
ส่วนหนึ่งเพราะเคยทำมาแล้ว
และคิดว่าคราวนี้ก็คงทำได้อีก
เพื่อนสนิทที่มีสัมผัสพิเศษคนหนึ่งพูดขึ้นว่า
‘หนอรู้ไหม
เรารู้สึกว่าที่สุดแล้วก็เจอกันอยู่ดี’
อะไรของมัน? มันจะมารู้ชีวิตเราได้ยังไงหว่า?
แล้วเวลาก็ผ่านไป
เดือนกุมภาพันธ์
หนอมีเหตุให้ต้องแวะไปที่นั่นอีกครั้ง
ที่ที่หนอพยายามหลีกเลี่ยง
มาตลอด 1 เดือนเต็ม
ทุกอย่างดูเปลี่ยนไปนะ
ที่ที่คุ้นเคยก็ไม่ได้คุ้นเคยแล้ว
มันคงเหมือนเดิมสำหรับหลายคน
แต่ไม่เหมือนเดิมสำหรับหนอ
มันไม่ใช่ที่ที่หนออยู่ได้อย่างสบายใจอีกต่อไป
แต่ถึงอย่างนั้น หนอก็ได้กลับมาแล้ว
หนอเดินกลับมาที่เดิม
ที่ที่คิดว่าจะไม่กลับมาอีกแล้ว
และแล้วก็เข้าใกล้สิ้นเดือน
เหตุการณ์ทางการเมืองมากมายเกิดขึ้น
ผู้ชุมนุมกลุ่มหนึ่งมาปิดล้อมหน้าอาคารที่ทำงานหนอค่ะ
แล้วก็มี ‘ไอ้โม่ง’ กลุ่มหนึ่งมาปีนสังเกตการณ์ทางด้านหลัง
ความรู้สึกที่โดนเบียดเบียนอย่างนี้น่าอึดอัดมาก
ทุกคนดูหงุดหงิด
ทุกคนดูหงุดหงิด
พวกเราโดนกล่าวหาว่าเป็นคนไม่ดี
ซึ่งคงไม่ถูกนักที่จะเหมารวมตราหน้าใครแบบนั้น
ช่วงนั้นเป็น 2-3 วันที่หนอมีปัญหานอนไม่หลับ
ทุกอย่างที่ทำให้หดหู่ดูจะถาโถมเข้ามาพร้อมๆ กัน
หนอเลือกที่จะกินยานอนหลับ
เพราะร่างกายหนอทนอาการตาค้างทั้งที่ง่วงต่อไปไม่ได้จริงๆ
แล้วมือถือก็ดังขึ้น
หนอยกขึ้นดูขณะที่ยาเริ่มออกฤทธิ์
เหมือนว่าสมองทำงานอยู่ครึ่งเดียว
นาฬิกาบอกเวลาห้าทุ่มกว่า
เบอร์ที่เห็นตรงหน้าเป็นเบอร์ 02
ซึ่งสมองหนอแทบจะไม่รับรู้อะไรแล้ว
เลยกดรับไปให้มันจบๆ
แล้วเสียงที่ดังผ่านสายมาก็คุ้นเคย
‘เขา’ คือเพื่อนที่หนอเลิกคบหาไปนาน
แล้วจะโทรมาทำไมกันนะ?
‘เป็นไงบ้าง ม็อบมาปิดที่ทำงาน?’
เขาถามอย่างเป็นห่วง
ไม่ว่าในฐานะอดีตเพื่อน
หรือนักข่าวจากช่องคู่แข่ง
เขาไม่มีเหตุผลอะไรต้องแสดงความหวังดี
ถึงอย่างนั้น หนอก็เหนื่อยเกินกว่าจะถามหาเหตุผลที่แท้จริง
หนอจำได้ว่าเราพูดจากันดี
ก่อนที่เขาจะบอกว่า
‘ติดตามดูช่องหนออยู่ แล้วเจอกัน’
และวางสายไป
หนอคงไม่สามารถลงรายละเอียด
ของการเลิกคบหากับเพื่อนคนนี้ได้
เอาเป็นว่า การกลับมาของเขามันน่าแปลก
ซึ่งนั่นก็เป็นครั้งเดียวที่เขาติดต่อมา
อะไรกันนะ?
เป็นห่วง...
หรือจะมาสืบข่าววงใน...
หรืออะไรกันแน่?
เดือนมีนาคมเป็นวันเกิดของหนอเอง
ไม่ได้มีอะไรพิเศษเช่นเคย
วันเกิดเป็นแค่วันวันหนึ่งสำหรับหนอ
แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้น หนอก็ลางานไปเที่ยว
หนออยากกลับไปเกาหลีมานานแล้ว
ทั้งที่เคยอยู่มาจนเบื่อ
นี่สินะ สิ่งที่เรามีเราจะไม่ต้องการ
แต่พอไม่มีมันแล้วเรากลับโหยหา
เกาหลียังเป็นเกาหลีเดิมๆ ที่หนอเคยรู้จัก
แม้ว่าหลายอย่างจะเปลี่ยนไปมาก
แต่มันก็ยังคงมีบรรยากาศที่คุ้นเคยนะ
... เต็มไปด้วยความทรงจำ
น่าภูมิใจที่หนอมีช่วงเวลาแบบนั้น
หลบลี้หนีหน้าจากงานประจำ
โดยใช้วันลาแค่เพียง 2 วัน
แม้ว่าจะยังไม่มีโควตาวันหยุดพักร้อนก็ตาม
ชีวิตไตรมาสแรกผ่านไปอย่างทุลักทุเล
แต่หนอกลับไม่รู้สึกว่ามีอะไรไม่ดีเกี่ยวกับมัน
มันเป็นชีวิตที่พอใช้ได้นะ
แค่มีขึ้นมีลงบ้างก็เท่านั้น
เดือนเมษายนเป็นการเริ่มต้นทีวีดิจิตอล
ชีวิตหนอวุ่นวายจากการปรับผังรายการ
ต้องปรับตัวมากพอสมควร
เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ใหม่สำหรับทุกคน
เวลาเช่นนี้น่าตื่นเต้นเสมอ
ข้อเสียคือเราลนมากกว่าปกติ
ข้อดีคือเราตั้งตารอมันมากกว่าปกติ
และนั่นก็เป็นความรู้สึกที่ดี
การตื่นมาโดยมีเป้าหมายในชีวิตชัดเจนนี่
เป็นเรื่องที่ดีมากเลยนะ
รู้ว่าตื่นมาต้องทำอะไรบ้าง
... มีประโยชน์กับใครบ้าง
2-3 วันที่แล้วมีโทรศัพท์ที่น่าแปลกใจอีกสาย
‘เพื่อนเก่าๆ’ อีกเช่นเคย
ทำไมทุกคนที่ห่างหายกันไป
ถึงได้เลือกที่จะกลับมาในชีวิตหนอกันนักนะ?
จนวันนี้หนอมักตั้งคำถามกับตัวเองว่า
เป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดีกันแน่
ที่หนอเป็นคนประเภทที่ลืมเรื่องเก่าๆ ได้ง่ายดาย
อะไรที่เคยโกรธก็จำไม่ได้แล้ว
และปล่อยเรื่องเก่าๆ นั้นไป
ข้อดีคือเราไม่ต้องแบกรับความรู้สึกแย่ๆ ไว้ในใจ
ข้อเสียคือเราอาจจะเปิดรับคนในอดีตให้มาทำร้ายเราอีกครั้ง
หนอแปลกใจที่หนอยังคุยกับทุกคนอย่างดี
ทั้งที่ตอนเกลียดก็เกลียดมาก... ทำไมกันนะ?
วันนี้ สิ่งที่หนอเรียนรู้ก็คือ
เรามีโอกาสที่ต้องพบเจอกับ ‘ความทรงจำ’
เสมอ
ไม่ว่าเราจะเดินไปหามัน
หรือมันเดินมาหาเรา
บางครั้งเป็นเพราะเราเลือกเอง
บางครั้งเพราะเราไม่มีทางเลือกอื่น
บางครั้งก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรา
บางครั้งเขาก็อาจจะแค่สับสน
จะด้วยเหตุใดก็แล้วแต่
หนอรู้สึกว่าอะไรที่เกิดขึ้นไปแล้วนั้นดีเสมอ
และเวลา ณ ปัจจุบันนี้ก็ดีเสมอ
เราทุกคนควรพร้อมที่จะทำให้มันดีอยู่เสมอ
ในโอกาสที่วันนี้เป็นวันปีใหม่ไทย
หนอหวังว่าการบ่นยืดยาวใน Blog นี้
จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านบ้าง
และขอให้ทุกท่านใช้วันนี้เริ่มต้นสิ่งดีๆ
ขอให้เจอแต่สิ่งดีๆ
ขอให้จำแต่สิ่งดีๆ
ขอให้ทำแต่สิ่งดีๆ
และขอให้มีความสุขกับ ‘ปัจจุบัน’
และอนาคตด้วยค่ะ
สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ